ผู้เขียน หัวข้อ: หมอออนไลน์: ช่องคลอดอักเสบจากเชื้อแบคทีเรีย (Bacterial Vaginosis)  (อ่าน 24 ครั้ง)

siritidaphon

  • Full Member
  • ***
  • กระทู้: 145
    • ดูรายละเอียด
หมอออนไลน์: ช่องคลอดอักเสบจากเชื้อแบคทีเรีย (Bacterial Vaginosis)

ภาวะช่องคลอดอักเสบจากเชื้อแบคทีเรีย เกิดจากการที่แบคทีเรียก่อโรคบางชนิดในช่องคลอดเจริญเติบโตมากเกินไป จนทำให้เกิดความไม่สมดุลในช่องคลอด เกิดการติดเชื้อ ส่งผลให้สีและกลิ่นของตกขาวเปลี่ยนไป


ภาวะช่องคลอดอักเสบจากเชื้อแบคทีเรีย

ภาวะช่องคลอดอักเสบจากเชื้อแบคทีเรีย (Bacterial vaginosis) เกิดจากการที่แบคทีเรียก่อโรคบางชนิดในช่องคลอดเจริญเติบโตมากเกินไป จนทำให้เกิดความไม่สมดุลในช่องคลอด เกิดการติดเชื้อ ส่งผลให้สีและกลิ่นของตกขาวเปลี่ยนไป โดยอาการดังกล่าวสามารถรักษาให้หายได้ด้วยยาปฏิชีวนะตามที่แพทย์สั่ง
อาการช่องคลอดอักเสบจากเชื้อแบคทีเรีย

ราว 84% ของหญิงที่ช่องคลอดอักเสบจากเชื้อแบคทีเรียนั้นมักไม่มีอาการใด ๆ แต่บางรายอาจมีอาการดังต่อไปนี้

    สีและกลิ่นของตกขาวเปลี่ยนไป ตกขาวสีขาวขุ่น ออกเทาหรือเขียว มักมีกลิ่นคาว
    มีอาการคันและระคายเคืองที่ช่องคลอด
    ปัสสาวะแสบขัด

อาการเหล่านี้จะคล้ายกับอาการของตกขาวจากเชื้อรา จึงควรเข้ารับการตรวจวินิจฉัยอย่างเหมาะสม


ควรพบแพทย์เมื่อไร?

ควรพบแพทย์หากตกขาวมีสีและกลิ่นเปลี่ยนไป เนื่องจากอาการของช่องคลอดอักเสบจากเชื้อแบคทีเรียคล้ายคลึงกับอาการของตกขาวจากเชื้อราหรือโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ จึงควรเข้ารับการตรวจวินิจฉัยและได้รับการรักษาอย่างถูกต้องเหมาะสม


สาเหตุที่ทำให้ช่องคลอดอักเสบ

ในช่องคลอดของคนเรามีแบคทีเรียชนิดต่าง ๆ มากมาย การสวนล้างช่องคลอดหรือมีเพศสัมพันธ์แบบไม่ป้องกันจะทำให้แบคทีเรียในช่องคลอดไม่สมดุล หากจำนวนแบคทีเรีย anaerobe ซึ่งเป็นแบคทีเรียที่ไม่ดีมีมากกว่าแบคทีเรียที่ดีอย่าง lactobacilli ก็อาจทำให้ช่องคลอดอักเสบจากเชื้อแบคทีเรียได้


ปัจจัยเสี่ยงที่ทำให้ช่องคลอดอักเสบจากเชื้อแบคทีเรีย

    มีคู่นอนมากกว่าหนึ่งคนหรือมีคู่นอนคนใหม่
    มีเพศสัมพันธ์แบบไม่ป้องกัน
    สวนล้างช่องคลอด
    กำลังตั้งครรภ์
    ใช้ห่วงคุมกำเนิด
    กำลังรับประทานยาปฏิชีวนะอยู่
    ร่างกายมีจำนวนแบคทีเรีย lactobacilli น้อยหรือไม่มีเลย แต่กรณีนี้มักพบได้น้อยมาก


การตรวจวินิจฉัยภาวะช่องคลอดอักเสบจากเชื้อแบคทีเรีย

    การซักประวัติและตรวจภายใน
    ภาวะช่องคลอดอักเสบจากเชื้อแบคทีเรียนั้นต้องได้รับการตรวจวินิจฉัยจากแพทย์เท่านั้น โดยแพทย์จะทำการซักประวัติว่าผู้ป่วยเคยเป็นโรคทางเพศสัมพันธ์หรือติดเชื้อในช่องคลอดหรือไม่ แพทย์จะตรวจดูตกขาวเพื่อหาสัญญาณของการติดเชื้อ
    การทดสอบในห้องปฏิบัติการ
    แพทย์จะเก็บตัวอย่างของตกขาวเพื่อนำส่งห้องปฏิบัติการ โดยที่ห้องปฏิบัติการจะทำการทดสอบด้วยวิธีสไลด์เปียก (wet mount) สูดกลิ่น (whiff test) หรือตรวจหาความเป็นกรดด่างของช่องคลอด (vaginal pH)


วิธีรักษาช่องคลอดอักเสบ จากเชื้อแบคทีเรีย

    ยา Metronidazole ทั้งแบบยาเม็ดรับประทาน เจลทาเฉพาะที่ หรือยาสอด ผลข้างเคียงคืออาการปวดท้อง คลื่นไส้ และควรหลีกเลี่ยงการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ขณะใช้ยา
    ยา Clindamycin มีทั้งแบบครีมและยาสอด ควรงดการมีเพศสัมพันธ์ระหว่างที่ใช้ยาและหลังใช้ยาครบตามกำหนด 3 วัน
    ยา Tinidazole อยู่ในรูปแบบยารับประทาน อาจมีผลข้างเคียง เช่น ปวดท้อง และควรหลีกเลี่ยงการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ขณะใช้ยา
    ยา Secnidazole สามารถผสมและรับประทานพร้อมอาหาร เช่น โยเกิร์ตหรือพุดดิ้ง โดยควรรับประทานให้หมดภายใน 30 นาที โดยห้ามเคี้ยวตัวยาขณะรับประทาน

ผู้ป่วยควรรับประทานหรือใช้ยาจนครบตามแพทย์สั่ง หากใช้ยาไม่ครบอาจทำให้กลับมาเป็นได้อีกภายใน 3-12 เดือน เมื่อกลับมาเป็นซ้ำ แพทย์อาจให้ใช้ยา Metronidazole นานขึ้น


ภาวะแทรกซ้อนจากการติดเชื้อ

โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ เช่น โรคหนองใน โรคหนองในเทียม โรคเริม หรือเอชไอวี

    ความเสี่ยงต่อการติดเชื้อหลังการผ่าตัดมดลูกหรือการขูดมดลูกสูงขึ้น
    ภาวะอุ้งเชิงกรานอักเสบ ซึ่งอาจส่งผลให้มีบุตรยาก
    การคลอดก่อนกำหนดหรือน้ำหนักตัวทารกแรกคลอดน้อย


การป้องกันช่องคลอดอักเสบจากเชื้อแบคทีเรีย

    หลีกเลี่ยงการใช้ผลิตภัณฑ์สำหรับจุดซ่อนเร้นที่มีน้ำหอม ซึ่งรวมไปถึงผ้าอนามัยแบบแผ่นและแบบสอดแบบมีกลิ่นหอม ซึ่งอาจทำให้ช่องคลอดอักเสบได้
    หลีกเลี่ยงการใช้ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดช่องคลอดเพราะอาจไปรบกวนสมดุลของแบคทีเรีย
    ใช้ถุงยางอนามัยหรือแผ่นยางอนามัย (dental dam) เวลามีเพศสัมพันธ์
    หลีกเลี่ยงการมีคู่นอนหลาย ๆ คน


การเตรียมตัวก่อนไปพบแพทย์

    ควรนัดแพทย์ในวันที่ไม่มีประจำเดือน
    ไม่ควรสวนล้างหรือมีเพศสัมพันธ์ 24 ชั่วโมงก่อนพบแพทย์
    จดบันทึกอาการ ยาและผลิตภัณฑ์เสริมอาหารที่กำลังรับประทาน รวมถึงคำถามที่ต้องการถามแพทย์


ยกตัวอย่าง เช่น

    จะป้องกันภาวะช่องคลอดอักเสบจากเชื้อแบคทีเรียได้อย่างไร?
    สัญญาณเตือนของภาวะช่องคลอดอักเสบจากเชื้อแบคทีเรียมีอะไรบ้าง?
    จำเป็นต้องรับประทานยาหรือไม่ ?
    คู่นอนควรมารับการตรวจหรือเข้ารับการรักษาด้วยหรือไม่?
    ควรทำอย่างไรหากกลับมาเป็นซ้ำ?

นอกจากนี้ผู้ป่วยสามารถเตรียมคำถามที่แพทย์อาจถามได้ล่วงหน้า

    มีอาการอะไรบ้าง?
    เริ่มมีอาการเมื่อไร?
    ตกขาวมีกลิ่นคาวหรือไม่?
    เคยติดเชื้อที่ช่องคลอดมาก่อนหรือไม่?
    กำลังรับประทานยาปฏิชีวนะอยู่หรือไม่?
    ใช้ผลิตภัณฑ์สำหรับจุดซ่อนเร้นหรือสบู่ที่มีส่วนผสมของน้ำหอมบ้างหรือไม่?


คำถามที่ถามบ่อย

    ภาวะช่องคลอดอักเสบจากเชื้อแบคทีเรียต่างจากตกขาวจากเชื้อราอย่างไร?
        กลิ่น: ตกขาวจากภาวะช่องคลอดอักเสบจากเชื้อแบคทีเรียจะมีกลิ่นคาว ในขณะที่ตกขาวจากเชื้อราจะไม่มีกลิ่นคาว
        อาการระคายเคืองในช่องคลอด: ภาวะช่องคลอดอักเสบจากเชื้อแบคทีเรียไม่ก่อให้เกิดอาการระคายเคือง ในขณะที่ตกขาวจากเชื้อราจะก่อให้เกิดการระคายเคืองในช่องคลอด
        การรักษา: ภาวะช่องคลอดอักเสบจากเชื้อแบคทีเรียต้องได้รับการตรวจวินิฉัยและใช้ยาปฏิชีวนะตามที่แพทย์สั่ง แต่ผู้ที่มีอาการตกขาวจากเชื้อราสามารถใช้ยาจากร้านขายยาบรรเทาอาการได้
    ภาวะช่องคลอดอักเสบจากเชื้อแบคทีเรียเป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์หรือไม่?
    ไม่ใช่ แต่ว่าการมีเพศสัมพันธ์จะเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดภาวะช่องคลอดอักเสบจากเชื้อแบคทีเรีย