แสดงกระทู้

This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.


Messages - siritidaphon

หน้า: [1] 2 3 ... 29
1
“สร้างเงินแสนจากครัวที่บ้าน” สไตล์ครูแมกซ์

จุดเริ่มต้นเพียงแค่ไม่มีใจรักการเป็นลูกน้อง และไม่ชอบการทำงานในองค์กร บวกกับมีความตั้งใจที่ว่า อยากฝึกทักษะการทำอาหารไว้ทำให้คุณพ่อคุณแม่ทานตอนท่านแก่
พร้อมกับคำพูดของคุณแม่ที่ชอบบอกว่า “การขายของมันได้จับเงินทุกวัน” นั่นคือจุดตัดสินใจ

ครูแมกซ์
จุดเริ่มต้นง่ายๆก็เริ่มจากการเรียนรู้จากคุณแม่ของครูแมกซ์เอง ท่านเป็นคนทำอาหารไทยอร่อย และเคยเปิดร้านอาหารมาก่อนตอนครูแมกซ์เด็กๆ
โดยใช้การถาม สังเกตอย่างละเอียด และฝึกชิมรสชาติของอาหารที่แท้จริง (เพราะคุณแม่ไม่เคยชั่งตวงวัดแม่บอกชิมให้เป็นไม่ต้องมาถามสูตร555)
ร่วมกับการเรียนรู้ผ่านสื่อออนไลน์ เช่น ยูทูป ดูทุกวันตลอดระยะเวลา 8-10ปี พร้อมกับการซื้อวัตถุดิบมาลงมือทำจริง ชิมจริง ทำให้คคุณแม่ทานจริง

ครูแมกซ์
จนถึงจุดที่มั่นใจแล้วว่า…จะทำอาหารเพื่อสร้างรายได้เริ่มง่ายๆจากครัวที่บ้าน
จากประสบการณ์ตลอดระยะเวลา15ปี ที่ครูแมกซ์มีรายได้จากอาหาร ไม่ว่าจะเป็นการยืนขายสลัดริมถนนหน้าตึกชาญอิสะ2 เปิดรับออเดอร์ลุกค้าในหมู่บ้าน การพรีออเดอร์ผ่านทางโซเชียลมีเดีย หรือแม้กระทั่งการออกบูทตามห้างดังต่างๆ

ทั้งหมดนี้ผ่านการทำจริง ได้ผลลัพธ์จริงมาทั้งหมดแล้วด้วยตัวครูแมกซ์เองคนเดียว (แบบไม่เลือกการมีลูกน้อง)

จึงมั่นใจมากว่าจากประสบการณ์ทั้งหมดที่ครูแมกซ์สั่งสมมาตลอดจนถึงวันนี้

ไข่เจียว
ครูแมกซ์ได้พิสูจน์แล้วว่า…การสร้างเงินแสนจากครัวที่บ้าน “มันทำได้จริง”
ครูแมกซ์ก็พร้อมที่จะถ่ายทอดทุกสูตรลัด แบไต๋ทุกเคล็ดลับให้คุณแบบหมดเปลือก!!  !!ความตั้งใจนั้นมันก็ได้เกิด”ผลลัพธ์”กับลูกศิษย์ครูแมกซ์เรียบร้อยแล้ว

📌น้องมิ้นท์ นักเรียนคอร์สไพรเวทจับมือทำรอบสด
ลาออกจากงานประจำเพื่อมาเปิดร้านขายอาหาร หลังจากเรียนกับครูแมกซ์ไปเพียงแค่3วัน น้องได้จับเงินบาทแรกจากอาหารทันที!!
โดยเปิดรับพรีออเดอร์จากอาพาร์ทเมนต์ (โดยมีครูแมกซ์เป็นที่ปรึกษาตลอด1เดือนเต็ม) เริ่มจากเมนูง่ายๆที่ครูแมกซ์เลือกให้เป็นเมนูประจำร้าน คือ “เมนูไข่ฟูหมูฉ่ำนัว”

‼️ล่าสุดเพียงแค่ 2เดือน ยอดขายเดือนกุมภาพันธ์ 68
สรุปได้ยอดขาย 60,000 บาท (ทำด้วยตัวคนเดียว)

📌น้องเติ๊ด นักเรียนคอร์สออนไลน์
เป็นพนักงานประจำหัวหน้าแผนกHR อยากหาอาชีพเสริมเพื่อวางแผนลาออกจากงานประจำ หลังจากเรียนคอร์สครูแมกซ์ภายใน 7 วัน น้องได้จับเงินบาทแรกจากอาหารทันที!!
โดยเปิดรับออเดอร์ที่คอนโด เริ่มจากเมนูง่ายๆที่เรียนจากคอร์สสูตรกะเพรา กับ คอร์ส10เมนูไข่ทำง่ายรายได้ปัง เมนูประจำร้าน คือ “เมนูข้าวไข่เจียว ไข่ข้น”
‼️ล่าสุดเพียงแค่ 2เดือน ยอดขายได้มากกว่าเงินเดือนประจำเป็นที่เรียนร้อยแล้ว พร้อมกับยื่นใบลาออก (แต่นายยังไม่อนุมัติ)


สนใจติดต่อสอบถามข้อมูล
ไลน์ ID  :  @krumax
Page FB : https://web.facebook.com/profile.php?id=61569480015186
เว็บไซด์ : https://krumax.net/krumaxcourse/
เบอร์โทร : 081-413-4479


2
ผลกระทบที่เกิดขึ้นจากเสียงดัง
ในโรงงานอุตสาหกรรม
โรงงานหรือสถานประกอบกิจการที่มีปัญหาด้านเสียงเกินค่ามาตรฐาน อาจสร้างผลกระทบทั้งด้านอาชีวอนามัยและความปลอดภัยในการทำงานต่อพนักงานในโรงงานเอง หรืออาจก่อให้เกิดมลพิษทางเสียงต่อชุมชนและสภาพแวดล้อมที่อยู่ด้านนอกโรงงาน หากเจ้าของแหล่งกำเนิดเสียงหรือผู้เกี่ยวข้องปล่อยปละละเลย ไม่จัดทำโครงการควบคุมเสียงหรือแก้ไขปัญหาดังกล่าวไม่สำเร็จ จะทำให้มีผลกระทบตามมา เช่น

•   เป็นผู้กระทำผิดกฎหมายด้านเสียง มีทั้งโทษปรับและจำคุก
•   ลูกจ้างอาจเกิดภาวะสูญเสียการได้ยินแบบชั่วคราวหรือแบบถาวร
•   ประสิทธิภาพการทำงานของพนักงานลดลงจากเสียงเกินค่ามาตรฐาน
•   ถูกร้องเรียนจากชุมชนหรือผู้ได้รับผลกระทบทางเสียงที่อยู่นอกโรงงาน
•   โรงงานหรือสถานประกอบกิจการอาจถูกสั่งปิดปรับปรุง จนกว่าจะแก้ไขแล้วเสร็จ

ทำไมต้องใช้บริการจาก
“NEWTECH INSULATION” ในการควบคุมเสียง?
ด้วยประสบการณ์กว่า 15 ปี ในการควบคุมเสียงอุตสาหกรรม เรามีความพร้อมทั้งด้านบุคลากรเฉพาะทางที่มีความรู้ด้านเสียงและความสั่นสะเทือน เครื่องมืออันทันสมัยที่ได้มาตรฐานตามที่กฎหมายกำหนด รวมถึงประสบการณ์ด้านการแก้ไขปัญหาเสียงอุตสาหกรรมที่มีทั้งในและต่างประเทศ ผู้ใช้บริการจึงมั่นใจได้ว่าปัญหาด้านเสียงในโรงงานหรือสถานประกอบกิจการจะได้รับการแก้ไขได้อย่างตรงจุด ด้วยค่าใช้จ่ายที่น้อยที่สุด เพราะเราเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านการควบคุมเสียงในอุตสาหกรรม
– บริษัทฯ ขึ้นทะเบียนและได้รับใบอนุญาตเป็นนิติบุคคลผู้ให้บริการตรวจวัดและวิเคราะห์สภาวะการทำงานเกี่ยวกับระดับเสียง โดยกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน
– บุคลากรของบริษัทฯ ได้รับใบอนุญาตเป็นผู้ควบคุมมลพิษเสียงและความสั่นสะเทือน จากสภาวิชาชีพวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
– มีทีมงานที่มากประสบการณ์และความรู้ ได้แก่ วิศวกร นักสิ่งแวดล้อมอุตสาหกรรม เจ้าหน้าที่ความปลอดภัยในการทำงาน ช่างเทคนิค รวมไปถึงช่างประกอบและติดตั้งระบบควบคุมเสียง
– มีเครื่องมือที่ได้มาตรฐานไว้ให้บริการทั้งด้านฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์
– มีสินค้าสำหรับควบคุมเสียงและความสั่นสะเทือนให้เลือกหลากหลายรูปแบบ เช่น ผนังกันเสียง ห้องเก็บเสียง ม่านกันเสียง ตู้ครอบลดเสียง แจ็คเก็ตลดเสียง ไซเลนเซอร์ อคูสติคลูเวอร์ อุปกรณ์แยกความสั่นสะเทือน เป็นต้น
– มีการประเมินหรือทำตัวแบบจำลองระดับเสียง ก่อน-หลัง ปรับปรุงให้ลูกค้าใช้เป็นข้อมูลในการตัดสินใจ ช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายและเวลาในการแก้ปัญหาด้านเสียง
– รับประกันระดับเสียงที่ลดลง อยู่ในเกณฑ์ที่กฎหมายกำหนด
– รับประกันคุณภาพสินค้าและฝีมือการติดตั้งทุกงาน

บริษัท นิวเทค อินซูเลชั่น จำกัด
ผู้เชี่ยวชาญด้านการควบคุมเสียงในโรงงานอุตสาหกรรม
จากประสบการณ์ในการแก้ไขปัญหาด้านเสียงมายาวนาน ไม่ว่าจะเป็นเสียงทางอาชีวอนามัยและความปลอดภัยในการทำงาน และเสียงทางสิ่งแวดล้อม
ทางบริษัทฯ ยินดีให้คำแนะนำที่ทำได้จริงสำหรับการแก้ปัญหาด้านมลภาวะทางเสียงที่เกิดขึ้น เพื่อให้ทั้งโรงงาน พนักงาน หรือชุมชนโดยรอบอยู่ร่วมกันได้
“เพราะเรา…เข้าใจเรื่องเสียง”

สนใจสั่งซื้อ
เบอร์โทร:  02-583-8035 , 02-583-8034, 098-995-4650
E-mail: contact@newtechinsulation.com
Line ID: @newtechinsulation
Facebook: newtechthai
Instagram: newtechinsulation
เว็บไซด์: https://www.noisecontrol365.com/


3
สูตรสปาเก็ตตี้ ทำขายสร้างอาชีพ ได้กำไรดี

สปาเก็ตตี้เป็นเมนูอาหารอิตาเลียนที่ได้รับความนิยมอย่างมากในประเทศไทย สามารถนำมาทำขายสร้างอาชีพได้หลากหลายรูปแบบ ทั้งแบบร้านอาหาร, ร้านอาหารเดลิเวอรี่ หรือแผงลอย โดยมีสูตรและเคล็ดลับที่น่าสนใจดังนี้:

1. สูตรสปาเก็ตตี้ซอสมะเขือเทศหมูสับ (ยอดนิยม):

ส่วนผสม:
เส้นสปาเก็ตตี้ 500 กรัม
หมูสับ 300 กรัม
หอมใหญ่สับ 1/2 หัว
กระเทียมสับ 3 กลีบ
มะเขือเทศเข้มข้น 1 ถ้วย
ซอสมะเขือเทศ 1/2 ถ้วย
น้ำตาลทราย 1 ช้อนโต๊ะ
เกลือ 1/2 ช้อนชา
พริกไทยดำป่น 1/4 ช้อนชา
น้ำมันมะกอก 2 ช้อนโต๊ะ
ใบออริกาโนแห้ง (สำหรับโรยหน้า)

วิธีทำ:
ต้มเส้นสปาเก็ตตี้ในน้ำเดือดผสมเกลือจนสุก (Al dente) แล้วพักไว้
ผัดหอมใหญ่และกระเทียมกับน้ำมันมะกอกจนหอม ใส่หมูสับผัดจนสุก
ใส่มะเขือเทศเข้มข้น ซอสมะเขือเทศ น้ำตาลทราย เกลือ และพริกไทยดำ เคี่ยวจนซอสข้น
ใส่เส้นสปาเก็ตตี้ลงในซอส คลุกเคล้าให้เข้ากัน
ตักใส่จาน โรยหน้าด้วยใบออริกาโน

2. สูตรสปาเก็ตตี้คาโบนาร่า:

ส่วนผสม:
เส้นสปาเก็ตตี้ 500 กรัม
เบคอนหั่นชิ้นเล็ก 150 กรัม
ไข่ไก่ 3 ฟอง
พาเมซานชีสขูด 1/2 ถ้วย
วิปปิ้งครีม 1/2 ถ้วย
กระเทียมสับ 2 กลีบ
เกลือและพริกไทยดำป่น
น้ำมันมะกอก

วิธีทำ:
ต้มเส้นสปาเก็ตตี้จนสุก
ผัดเบคอนและกระเทียมจนหอม
ผสมไข่ไก่ พาเมซานชีส และวิปปิ้งครีม ปรุงรสด้วยเกลือและพริกไทย
ใส่เส้นสปาเก็ตตี้ลงในกระทะ ผัดให้เข้ากัน
เทส่วนผสมไข่ลงไป ผัดเร็วๆ ให้ซอสข้น

เคล็ดลับทำสปาเก็ตตี้ให้อร่อย:

ต้มเส้นให้สุกพอดี (Al dente): เส้นที่สุกเกินไปจะเละ
ใช้มะเขือเทศเข้มข้น: ช่วยให้ซอสมีรสชาติเข้มข้น
ปรุงรสให้กลมกล่อม: ชิมรสและปรับตามชอบ
ใช้ไฟอ่อนเคี่ยวซอส: ช่วยให้ซอสมีรสชาติอร่อยยิ่งขึ้น
เพิ่มตัวเลือก: เพื่อเพิ่มความหลากหลาย อาจเพิ่มไส้กรอก, เห็ด, หรืออาหารทะเล

เคล็ดลับทำขาย:

เตรียมวัตถุดิบไว้ล่วงหน้า: เพื่อความรวดเร็วในการทำอาหาร
ทำซอสสปาเก็ตตี้ล่วงหน้า: จะช่วยลดเวลาในการทำอาหาร
จัดเตรียมภาชนะ: สำหรับใส่สปาเก็ตตี้และซอส
คำนวณต้นทุน: เพื่อกำหนดราคาขายที่เหมาะสม
โปรโมท: เพื่อดึงดูดลูกค้า
รักษาความสะอาด: เพื่อสร้างความมั่นใจให้กับลูกค้า

ข้อควรระวัง:

ความสะอาดของวัตถุดิบและอุปกรณ์
ความสดใหม่ของวัตถุดิบ
รสชาติที่ถูกปากลูกค้า

หวังว่าสูตรและเคล็ดลับเหล่านี้จะเป็นประโยชน์ในการทำสปาเก็ตตี้ขายสร้างอาชีพนะคะ

4
Doctor At Home: เป็นลม (Syncope/Fainting)

คำว่า เป็นลม ในที่นี้หมายถึง อาการที่อยู่ ๆ ก็หมดสติทรุดลงกับพื้น ซึ่งเกิดขึ้นอย่างกะทันหัน และเป็นอยู่ชั่วประเดี๋ยวเดียวก็กลับฟื้นคืนสติได้เองภายในเวลาอันสั้น ทั้งนี้ เนื่องจากมีเลือดไปเลี้ยงเซลล์สมองน้อยลง ทำให้เซลล์สมองขาดออกซิเจนชั่วขณะ อันเป็นผลมาจากการเปลี่ยนแปลงของระบบประสาทและระบบไหลเวียนโลหิตจากสาเหตุต่าง ๆ

ชาวบ้านนิยมเรียกอาการเป็นลมนี้ว่า "โรควูบ"

เป็นลมเป็นอาการที่พบได้บ่อยในคนทุกวัย และจะพบบ่อยขึ้นตามอายุที่มากขึ้น ถ้าพบในคนอายุต่ำกว่า 30 ปีมักเป็นลมธรรมดา ไม่มีโรคประจำตัวที่เป็นต้นเหตุ และส่วนใหญ่จะมีอาการเพียงครั้งเดียว จะไม่มีอาการเป็นลมกำเริบซ้ำอีก แต่ถ้าพบในวัยกลางคนและผู้สูงอายุก็อาจมีโรคประจำตัว (เช่น เบาหวาน ความดันโลหิตสูง โรคหัวใจ) ร่วมด้วย หรือเกิดจากสาเหตุที่รุนแรงได้ ซึ่งมีโอกาสที่จะมีอาการเป็นลมซ้ำซากได้

โดยภาพรวม ผู้ที่มีอาการเป็นลมทั้งหมด (ทุกกลุ่มวัยและจากทุกสาเหตุ) อาจมีโอกาสเป็นลมซ้ำได้อีกประมาณร้อยละ 30

สาเหตุ

อาการเป็นลมอาจเกิดจากสาเหตุใดสาเหตุหนึ่งหรือหลาย ๆ สาเหตุร่วมกัน ดังต่อไปนี้

1. กลุ่มที่เกิดจากการเปลี่ยนแปลงของความตึงตัวของหลอดเลือด (vascular tone) หรือปริมาตรเลือด (blood volume) ได้แก่

(1) เป็นลมจากหลอดเลือดและประสาทเวกัส (vasovagal syncope หรือ neurocardiogenic syncope) พบได้ประมาณครึ่งหนึ่งของอาการเป็นลมทั้งหมดและเป็นภาวะที่ไม่รุนแรง ซึ่งมีชื่อเรียกแต่เดิมว่า เป็นลมธรรมดา (common fainting) มักเกิดกับวัยหนุ่มสาว แต่ก็อาจพบได้ในทุกวัย ผู้ป่วยจะเป็นคนที่มีสุขภาพแข็งแรงดี ไม่มีโรคประจำตัว มักเกิดอาการเป็นลมขณะอยู่ในท่ายืน มักมีเหตุกระตุ้น เช่น อยู่ในฝูงชนแออัด อากาศร้อนอบอ้าว หรืออยู่กลางแดดที่ร้อนจัด ร่างกายอ่อนเพลีย เหนื่อยล้า อดนอน หลังกินข้าวอิ่ม ลุกจากท่านอนราบขึ้นยืนเร็ว ๆ หรือยืนอยู่ในท่าเดิมนาน ๆ มีความรู้สึกเจ็บปวดรุนแรง มีความรู้สึกตื่นเต้น ตกใจ กลัว หรือเสียใจอย่างกะทันหัน หรือเห็นเลือดแล้วรู้สึกกลัว ถูกเจาะเลือด เป็นต้น เป็นเหตุให้ร่างกายเกิดปฏิกิริยา ทำให้หัวใจเต้นช้าลง และหลอดเลือดที่เท้า 2 ข้างขยายตัว มีเลือดคั่งอยู่ที่เท้า ส่งผลให้ความดันโลหิตลดลง จึงมีเลือดขึ้นไปเลี้ยงสมองได้น้อยลง เกิดอาการเป็นลมล้มฟุบทันที

(2) เป็นลมจากอากัปกิริยาบางอย่าง (situational syncope) ชักนำให้เกิดปฏิกิริยาแบบเดียวกับข้อ (1) ทำให้มีอาการเป็นลมทันทีขณะมีกิริยานั้น ๆ ตัวอย่างเช่น

    ขณะไอหรือจามแรง ๆ มักพบในคนที่เป็นโรคเกี่ยวกับทางเดินหายใจ
    ขณะกลืนอาหาร มักพบในผู้ป่วยที่เป็นโรคเกี่ยวกับคอหอย หรือหลอดอาหาร
    ขณะถ่ายปัสสาวะ หลังจากมีปัสสาวะเต็มกระเพาะ (ปวดถ่ายสุด ๆ) พบบ่อยในผู้ชายที่ดื่มแอลกอฮอล์จัด
    ขณะถ่ายอุจจาระ ในคนที่ท้องผูก หรือมีการเบ่งแรง ๆ
    ขณะหันคอ โกนหนวดด้วยเครื่องไฟฟ้า หรือใส่เสื้อรัดคอ พบในผู้สูงอายุที่มีความไวของคาโรติดไซนัส (carotid sinus hypersensitivity)

(3) เป็นลมจากความดันตกในท่ายืน (postural syncope) ผู้ป่วยจะรู้สึกเป็นปกติดีขณะอยู่ในท่านอนราบ แต่เมื่อลุกขึ้นยืนจะมีความดันเลือดลดลง จนเลือดไปเลี้ยงสมองได้น้อยลง ทำให้เกิดอาการหน้ามืด เป็นลมทันที มักพบในผู้สูงอายุ ผู้ที่เป็นเบาหวานหรือโรคพิษสุราเรื้อรัง ผู้ที่ใช้ยารักษาโรคความดันโลหิตสูง ยารักษาโรคหัวใจ หรือยาขับปัสสาวะ ผู้ที่มีภาวะตกเลือด (เช่น มีเลือดออก ถ่ายอุจจาระดำ ประจำเดือนออกมาก) หรือมีภาวะขาดน้ำ (เช่น ท้องเดิน อาเจียน มีไข้สูง ดื่มน้ำน้อย เหงื่อออกมากเนื่องจากออกกำลังกายหรืออยู่ในที่ ๆ อากาศร้อนอบอ้าว) หรือดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ดูเพิ่มเติมใน "ภาวะความดันตกในท่ายืน"

2. กลุ่มที่เกิดจากความผิดปกติของหัวใจและหลอดเลือด (cardiovascular disorders) ส่งผลให้หัวใจสูบฉีดไม่ได้เต็มที่ เลือดขึ้นไปเลี้ยงสมองได้น้อยลง เกิดอาการเป็นลม เรียกว่า เป็นลมจากโรคหัวใจ (cardiac syncope) อาจเกิดจากหลายสาเหตุ เช่น

    หัวใจเต้นผิดจังหวะ อาจเต้นช้าหรือเร็ว หรือจังหวะไม่สม่ำเสมอ
    โรคหลอดเลือดหัวใจตีบ
    ภาวะหัวใจวาย
    โรคกล้ามเนื้อหัวใจพิการ (cardiomyopathy)
    โรคลิ้นหัวใจตีบ (aortic stenosis, mitral stenosis)
    เนื้องอกในหัวใจ (atrial myxoma)
    ภาวะเลือดเซาะผนังหลอดเลือดแดงใหญ่ (aortic dissection) (ดู "โรคหลอดเลือดแดงใหญ่โป่งพอง")
    ภาวะสิ่งหลุดอุดตันหลอดเลือดแดงปอด (ดู "ภาวะหลอดเลือดดำส่วนลึกมีลิ่มเลือด") ทำให้เกิดภาวะหัวใจวายตามมา ซึ่งเป็นสาเหตุของอาการเป็นลม

3. กลุ่มที่เกิดจากความผิดปกติของหลอดเลือดสมอง (cerebrovascular disorders) เช่น หลอดเลือดสมองตีบตัน หรือแตก (ดู "โรคหลอดเลือดสมอง สมองขาดเลือดชั่วขณะ อัมพาตครึ่งซีก") ทำให้เซลล์สมองขาดเลือดไปเลี้ยง เกิดอาการเป็นลม เรียกว่า เป็นลมจากโรคสมอง (neurologic syncope) สาเหตุที่พบได้บ่อย ได้แก่ หลอดเลือดแดง vertebrovascular artery ขาดเลือด (vertebrovascular insufficiency) โรคไมเกรนที่มีการตีบของหลอดเลือดแดง basilary artery ชั่วขณะ

4. กลุ่มโรคที่หมดสติชั่วขณะคล้ายอาการเป็นลม มีอาการหมดสติที่ไม่เกี่ยวกับเซลล์สมองขาดเลือดแต่เกี่ยวกับสาเหตุอื่น เช่น

    อาการชัก เช่น โรคลมชัก ขณะชักจะมีอาการหมดสติชั่วขณะ
    ภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำ ซึ่งอาจมีอาการเป็นลมชั่วขณะ แล้วฟื้นสติได้เอง แต่บางคนก็หมดสติไปเลย มีสาเหตุจากการอดอาหารนาน หรือเป็นผู้ป่วยเบาหวานที่ใช้ยาเกินขนาด ออกแรงมากเกิน หรือกินอาหารผิดเวลา หรือกินอาหารได้น้อย
    ภาวะซีด หรือโลหิตจางจากสาเหตุต่าง ๆ
    โรคทางจิตประสาท เช่น โรคกังวล โรคซึมเศร้า กลุ่มอาการระบายลมหายใจเกิน เป็นต้น อาจมีอาการเป็นลมแน่นิ่งชั่วขณะร่วมด้วย

5. กลุ่มที่ไม่ทราบสาเหตุ บางรายอาจมีอาการเป็นลมโดยไม่ทราบสาเหตุชัดเจน ซึ่งพบประมาณร้อยละ 30 ของผู้ป่วยที่มีอาการเป็นลม

อาการ

เป็นลมธรรมดา มักมีอาการเป็นลมขณะอยู่ในท่ายืน คือ อยู่ดี ๆ รู้สึกใจหวิว แขนขาอ่อนแรง ทรงตัวไม่ไหว ทรุดลงนอนกับพื้น ไม่รู้สึกตัวหรือหมดสติอยู่เพียงชั่วประเดี๋ยวเดียว แล้วก็ฟื้นคืนสติได้เองภายในไม่กี่วินาทีถึง 1 นาทีเป็นส่วนใหญ่ (ส่วนน้อยอาจหมดสตินานเกิน 2 นาที) โดยร่างกายจะกลับเป็นปกติดีในเวลาไม่นาน บางรายอาจรู้สึกสับสน (แต่จะเป็นอยู่นานไม่เกิน 30 วินาที) อาจจำเหตุการณ์ช่วงที่เป็นลมล้มฟุบลงไม่ได้ และหลังจากฟื้นคืนสติ อาจรู้สึกอ่อนเพลียอยู่นานประมาณ 30 นาที

บางคนก่อนจะเป็นลมอาจมีอาการเตือนล่วงหน้า (เช่น ศีรษะเบาหวิว วิงเวียน ตัวโคลงเคลง ตาลาย มองเห็นภาพเป็นจุดสีดำหรือเทา หรือตามัวลง หูอื้อหรือมีเสียงดังในหู คลื่นไส้ เหงื่อออก ใจหวิว ใจสั่น หน้าซีด อ่อนแรง) อยู่นานเป็นวินาทีถึง 2-3 นาที แล้วก็เป็นลมฟุบ หมดสติ

เป็นลมจากอากัปกิริยาบางอย่าง มีอาการคล้ายกับอาการเป็นลมธรรมดา แต่จะมีสาเหตุกระตุ้นชัดเจน เช่น ไอ ขณะกลืนอาหาร เบ่งถ่าย หันคอ เป็นต้น

เป็นลมจากความดันตกในท่ายืน มีอาการหน้ามืดเป็นลมทันทีที่ลุกขึ้นยืน ในขณะที่อยู่ในท่านอนราบจะรู้สึกสบายดี อาจมีอาการกำเริบซ้ำได้บ่อย อาจมีประวัติเป็นเบาหวานหรือโรคพิษสุราเรื้อรัง หรือกินยาหรืออมยาใต้ลิ้นก่อนเป็นลม หรือมีภาวะขาดน้ำหรือเลือดออก (เช่น ถ่ายดำ มีประจำเดือนออกมาก)

เป็นลมจากโรคหัวใจ พบบ่อยในผู้สูงอายุ หรือผู้ที่มีประวัติเป็นโรคเรื้อรัง (เช่น เบาหวาน ความดันโลหิตสูง ไขมันในเลือดสูง โรคหัวใจ) หรือสูบบุหรี่ ก่อนเป็นลมหมดสติอาจมีอาการใจสั่น เจ็บหน้าอก หรือหายใจหอบเหนื่อยร่วมด้วย บางรายอาจมีอาการเป็นลมขณะใช้แรง (เช่น ยกของหนัก ทำงานหนัก) หรือขณะออกกำลังกาย และอาจเป็นลมขณะอยู่ในท่านอน ท่านั่ง หรือท่ายืนก็ได้

เป็นลมจากโรคสมอง พบบ่อยในผู้สูงอายุ หรือผู้ที่มีประวัติเป็นโรคเรื้อรังหรือสูบบุหรี่ ก่อนเป็นลมหมดสติอาจมีอาการปวดศีรษะ บ้านหมุน เห็นภาพซ้อน พูดอ้อแอ้หรือไม่ชัด กลืนลำบาก เดินเซ แขนขาชาหรืออ่อนแรงร่วมด้วย


ภาวะแทรกซ้อน

ขณะเป็นลมหมดสติ อาจทำให้เกิดอุบัติเหตุขณะขับรถ ทำงานกับเครื่องจักร หรือว่ายน้ำ เป็นอันตรายได้ หรืออาจล้มฟุบ หรือตกจากที่สูง ได้รับบาดเจ็บ เช่น บาดแผล กระดูกหัก ศีรษะได้รับบาดเจ็บ เป็นต้น

สำหรับผู้ที่เป็นลมซึ่งพบว่ามีโรคประจำตัวร่วมด้วย (เช่น เบาหวาน ความดันโลหิตสูง โรคหัวใจ โรคสมอง) ก็อาจเกิดภาวะแทรกซ้อนจากโรคที่พบร่วมตามมาได้

การวินิจฉัย

แพทย์จะวินิจฉัยจากอาการ ประวัติโรคการเจ็บป่วย การใช้ยา เหตุการณ์ในช่วงที่เป็นลม (เช่น ก่อนจะเป็นลมกำลังทำอะไร อยู่ที่ไหน) สาเหตุที่กระตุ้นให้เป็นลม (เช่น อดนอน อดข้าว เห็นเลือด เหนื่อยล้า มีอาการเจ็บปวด มีเรื่องตื่นเต้น ตกใจ กลัว) และการตรวจร่างกายเป็นหลัก อาจมีสิ่งตรวจพบ เช่น

เป็นลมธรรมดาและเป็นลมจากอากัปกิริยาบางอย่าง ขณะเป็นลมอาจตรวจพบอาการหน้าซีด มือเท้าเย็น มีเหงื่อออกเป็นเม็ดทั่วใบหน้าและลำตัว ชีพจรเต้นช้า (ต่ำกว่า 60 ครั้ง/นาที) รูม่านตาขยายเท่ากันทั้ง 2 ข้าง และหดลงทันทีเมื่อถูกแสง

เป็นลมจากความดันตกในท่ายืน การวัดความดันโลหิตในท่ายืน (หลังยืนขึ้น 2-5 นาที) เทียบกับท่านอน พบว่า ในท่ายืนความดันช่วงบนลดลง > 20 มม.ปรอท หรือความดันช่วงล่างลดลง > 10 มม.ปรอท หรือความดันช่วงบนในท่ายืน < 90 มม.ปรอท

ในรายที่มีปริมาตรเลือดลดลง (เช่น ขาดน้ำ เสียเลือด) ชีพจรในท่ายืนอาจเพิ่ม > 20 ครั้ง/นาที ผู้ป่วยอาจมีภาวะซีด หรือภาวะขาดน้ำ (เช่น ริมฝีปากแห้ง) ร่วมด้วย

เป็นลมจากโรคหัวใจ อาจตรวจพบชีพจรเต้นช้าหรือเร็วกว่าปกติ หรือจังหวะไม่สม่ำเสมอ การตรวจฟังหัวใจอาจได้ยินเสียงฟู่ (murmur) บางรายอาจพบภาวะหัวใจวาย

เป็นลมจากโรคสมอง การใช้เครื่องฟังตรวจตรงหลอดเลือดแดงที่คออาจได้ยินเสียงฟู่ (carotid bruit) อาจพบอาการแขนขาอ่อนแรง ความดันโลหิตสูง

ในหญิงตั้งครรภ์ หรือในรายที่สงสัยว่าผู้ป่วยมีโรคประจำตัว หรือมีอาการเป็นลมซ้ำซาก แพทย์จะทำการตรวจพิเศษเพิ่มเติม เช่น การตรวจเลือด (ดูภาวะซีด ระดับน้ำตาลและไขมันในเลือด อิเล็กโทรไลต์ในเลือด เป็นต้น) การตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจ การตรวจบันทึกคลื่นไฟฟ้าหัวใจแบบตลอดเวลา 24 ชั่วโมง (holter monitor) การตรวจหัวใจด้วยคลื่นเสียงความถี่สูง (echocardiogram) การตรวจคลื่นไฟฟ้าสมอง การถ่ายภาพสมองด้วยคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า (MRI) หรือเอกซเรย์คอมพิวเตอร์ เป็นต้น

ในรายที่มีอาการเป็นลมซ้ำซากโดยหาสาเหตุไม่ได้ชัดเจน อาจทำการตรวจที่เรียกว่า "การทดสอบด้วยเตียงที่ปรับเอียง (tilt table test)" โดยทำการตรวจวัดการเปลี่ยนแปลงของชีพจรและความดันโลหิต เมื่อจัดเตียงตรวจให้ผู้ป่วยยืนทำมุมในองศาต่าง ๆ การทดสอบนี้จะช่วยวินิจฉัยอาการเป็นลมจากหลอดเลือดและประสาทเวกัส (vasovagal syncope) รวมทั้งภาวะความดันตกในท่ายืน


การรักษาโดยแพทย์

แพทย์จะให้การรักษาตามสาเหตุที่พบ ดังนี้

1. ถ้าเป็นลมธรรมดา หากผู้ป่วยรู้สึกตัวดีแล้ว และตรวจไม่พบสาเหตุที่ชัดเจน แพทย์จะแนะนำให้ผู้ป่วยปฏิบัติตัวในการป้องกันและดูแลเบื้องต้นหากมีอาการกำเริบใหม่

สำหรับผู้ที่เป็นลมบ่อยโดยไม่มีสาเหตุชัดเจน และมีผลต่อการดำเนินชีวิต หรือมีความเสี่ยงต่อการเกิดอุบัติเหตุ แพทย์อาจพิจารณาให้ยาชนิดใดชนิดหนึ่งตามความเหมาะสมกับสภาพของผู้ป่วย อาทิ ยากลุ่ม mineralocorticoid เช่น ฟลูโดรคอร์ติโซน (fludrocortisone), ยาหดหลอดเลือด (vasoconstrictor) เช่น ไมโดดรีน (midodrine), ยากลุ่ม selective serotonin reuptake inhibitors เช่น ฟลูออกซีทิน หรือเซอร์ทราลีน (sertraline)

หากรักษาด้วยยาไม่ได้ผล แพทย์อาจพิจารณาทำการผ่าตัดใส่ตัวคุมจังหวะหัวใจ (pacemaker)

2. ถ้าเป็นลมจากอากัปกิริยาบางอย่าง ก็จะแนะนำให้หลีกเลี่ยงหรือควบคุมอากัปกิริยาที่เป็นสาเหตุ เช่น การไอ การเบ่งถ่าย เป็นต้น ถ้าเกิดจากความไวของคาโรติดไซนัสก็แนะนำให้หลีกเลี่ยงการสวมใส่เสื้อหรือเน็กไทรัดคอ ใช้มีดโกนไฟฟ้าแทนมีดโกนธรรมดา

3. ถ้าเป็นลมจากความดันตกในท่ายืน ก็แก้ไขตามสาเหตุ เช่น ภาวะขาดน้ำหรือเสียเลือด ก็ให้น้ำเกลือหรือให้เลือด หากเกิดจากยาก็ปรับเปลี่ยนยาให้เหมาะสม เป็นต้น

แนะนำให้ผู้ป่วยลุกขึ้นช้า ๆ จากท่านอนเป็นท่านั่ง แล้วจากท่านั่งจึงค่อย ๆ ลุกขึ้นยืน การขยับขาก่อนลุกขึ้นก็อาจทำให้เกิดอาการน้อยลง (เนื่องเพราะสามารถเพิ่มปริมาตรเลือดไหลกลับเข้าสู่หัวใจได้) นอกจากนี้ การนอนศีรษะสูงหรือใช้ถุงรัดน่อง (compression stocking) ก็อาจมีส่วนช่วยลดอาการได้

ในรายที่มีอาการบ่อย ๆ แพทย์อาจพิจารณาให้ยา เช่น ยากลุ่ม mineralocorticoid-ฟลูโดรคอร์ติโซน (fludrocortisone), ไมโดดรีน (midodrine) (ดูเพิ่มเติมใน "ภาวะความดันตกในท่ายืน")

4. ถ้าเป็นลมจากโรคหัวใจหรือโรคสมอง อาจจำเป็นต้องรับตัวไว้รักษาในโรงพยาบาล เพื่อพิจารณาให้ยารักษาหรือผ่าตัดแก้ไข

สำหรับผู้ที่มีภาวะหัวใจเต้นช้าหรือเร็วผิดปกติ แพทย์อาจผ่าตัดใส่อุปกรณ์คุมจังหวะหัวใจ ได้แก่ pacemaker สำหรับผู้ที่มีภาวะหัวใจเต้นช้า, implantable cardioverter-defibrillator สำหรับผู้ที่มีภาวะหัวใจเต้นเร็ว

ผู้ป่วยที่เป็นลมจากโรคหัวใจหรือโรคสมอง ควรได้รับการรักษาอย่างจริงจัง มิเช่นนั้นอาจมีโอกาสตายหรือพิการได้

5. ถ้าเป็นลมจากโรคทางจิตประสาท (เช่น โรคกังวล โรคซึมเศร้า กลุ่มอาการระบายลมหายใจเกิน เป็นต้น) หรือสาเหตุอื่น (เช่น ภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำ ภาวะซีด โรคลมชัก ไมเกรน เป็นต้น) ก็จะให้การรักษาโรคหรือภาวะผิดปกติที่พบ

การดูแลตนเอง

หากพบผู้ป่วยมีอาการเป็นลม ควรทำการปฐมพยาบาล

ผู้ป่วยแม้ว่าจะฟื้นสติได้เอง และมีความรู้สึกตัวเป็นปกติดีแล้ว ก็ควรไปปรึกษาแพทย์ทุกราย

โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ผู้สูงอายุ หญิงตั้งครรภ์ ผู้ที่มีโรคประจำตัว (เช่น เบาหวาน ความดันโลหิตสูง โรคหัวใจ) หรือกินยารักษาโรคอยู่ประจำ สงสัยมีภาวะผิดปกติของร่างกาย ผู้ที่เคยเป็นลมมาก่อนหรือรู้สึกคล้ายจะเป็นลมอีก หรือมีอาการผิดปกติอื่น ๆ ร่วมด้วย (เช่น ชัก เห็นภาพซ้อน พูดไม่ชัด กลืนลำบาก เดินเซ แขนขาชาหรืออ่อนแรง เจ็บแน่นหน้าอก เหนื่อยง่าย ชีพจรเต้นช้าหรือเร็วกว่าปกติ หรือเต้นไม่สม่ำเสมอ ซีด ถ่ายอุจจาระดำ มีเลือดออก ปวดศีรษะมาก ปวดท้องมาก อาเจียน ท้องเดิน เป็นต้น) ควรไปพบแพทย์โดยเร็ว

ควรดูแลรักษาและปฏิบัติตัวตามคำแนะนำของแพทย์ และติดตามการรักษากับแพทย์ตามนัด

ควรกลับไปพบแพทย์ก่อนนัด ถ้ามีอาการเป็นลมใหม่ หรือมีอาการผิดปกติ (เช่น อ่อนเพลีย เหนื่อยง่าย เจ็บแน่นหน้าอก แขนขาชาหรืออ่อนแรง กลืนลำบาก พูดไม่ขัด เดินเซ เป็นต้น) หรือมีอาการที่สงสัยว่าเกิดจากผลข้างเคียงจากยา (เช่น มีลมพิษ ผื่นคัน ตุ่มพุพอง ตาบวม ปากบวม คลื่นไส้ อาเจียน หรือมีอาการผิดปกติอื่น ๆ)


การปฐมพยาบาลคนเป็นลม

เมื่อพบผู้ป่วยเป็นลม ควรให้การปฐมพยาบาล ดังนี้

1. ขั้นตอนแรกสุดคือ รีบจับผู้ป่วยนอนหงาย ศีรษะต่ำ (ไม่ต้องหนุนหมอน) เท้ายกสูง เพื่อให้เลือดไปเลี้ยงสมองมากขึ้น และหันศีรษะไปด้านข้าง เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดการอุดกั้นทางเดินหายใจ

2. ปลดเสื้อผ้า เข็มขัด รวมทั้งสิ่งรัดคอ (เช่น เน็กไท ผ้าพันคอ กระดุมคอ) ให้หลวม

3. ห้ามคนมุงดู เพื่อให้อากาศถ่ายเทได้สะดวก

4. ถ้าตัวเย็นหรืออากาศเย็น ห่มผ้าให้อบอุ่น

5. ขณะที่ยังไม่ฟื้น ห้ามให้น้ำหรืออาหารทางปาก

6. เมื่อผู้ป่วยเริ่มรู้สึกตัว อย่าให้ลุกขึ้นทันที อาจทำให้เป็นลมอีกได้ ควรให้นอนพักต่ออีก 15-20 นาที หรือจนกว่าอาการจะหายเป็นปกติ และตรวจดูว่าร่างกายได้รับบาดเจ็บหรือไม่

7. เมื่อผู้ป่วยฟื้นคืนสติแล้ว และเริ่มกลืนได้ อาจให้ผู้ป่วยดื่มน้ำ (ถ้ารู้สึกกระหาย) หรือให้ดื่มน้ำหวาน (ถ้ารู้สึกหิว)

8. แม้ว่าผู้ป่วยจะฟื้นดีแล้ว ก็ควรส่งไปพบแพทย์หรือโรงพยาบาลเพื่อตรวจหาสาเหตุ

9. ถ้าผู้ป่วยหมดสตินานเกิน 2-3 นาที ควรให้การปฐมพยาบาลแบบอาการหมดสติ หรือขณะที่หมดสติ ถ้าพบว่าผู้ป่วยหยุดหายใจให้ทำการกู้ชีวิต (CPR) ด้วยการกดหน้าอก (ปั๊มหัวใจ) แล้วนำส่งโรงพยาบาลทันที


การป้องกัน

1. นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ ดื่มน้ำให้มาก ๆ หลีกเลี่ยงการดื่มสุราจัดและการสูบบุหรี่ หาทางผ่อนคลายความเครียด และออกกำลังกายเป็นประจำ

2. บริโภคอาหารสุขภาพ ออกกำลังกายเป็นประจำ ควบคุมน้ำหนักตัว และมีสุขนิสัยในการส่งเสริมสุขภาพและการป้องกันโรคต่าง ๆ

3. เมื่อมีโรคประจำตัว (เช่น เบาหวาน ความดันโลหิตสูง ไขมันในเลือดสูง เป็นต้น) ควรดูแลรักษาอย่างจริงจัง

4. ผู้ที่เคยเป็นลมธรรมดา ควรปฏิบัติตัวดังนี้

    หลีกเลี่ยงเหตุกระตุ้น เช่น การอยู่ในฝูงชนแออัด อากาศร้อน การออกกลางแดด การอดนอน การอดข้าว การดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ การลุกจากท่านอนราบขึ้นยืนเร็ว ๆ (ควรลุกขึ้นอย่างช้า ๆ) การยืนอยู่ในท่าเดิมนาน ๆ (ถ้าจำเป็นต้องยืนเป็นเวลานาน ควรขยับเดินเคลื่อนไหวไปมาบ่อย ๆ) เป็นต้น
    หลีกเลี่ยงสถานการณ์ที่ทำให้เครียด ตื่นเต้น ตกใจ กลัว เช่น ไม่เข้าไปเกี่ยวข้องกับเรื่องน่ากลัว หรือน่าตื่นเต้น การเห็นเลือด
    เมื่อมีอาการไม่สบาย เช่น ปวดศีรษะ ปวดท้อง ท้องเดิน อาเจียน ควรรีบดูแลรักษาตัวเองให้ถูกต้อง (เช่น กินยาบรรเทาอาการ ดื่มสารละลายน้ำตาลเกลือแร่ป้องกันภาวะขาดน้ำ) หรือไปพบแพทย์โดยเร็ว
    เมื่อมีอาการเตือน (เช่น ศีรษะเบาหวิว วิงเวียน ตัวโคลงเคลง คลื่นไส้ หน้าซีด) ให้รีบนอนลงและยกเท้าสูงกว่าระดับหัวใจประมาณ 30 ซม. หรือนั่งบนเก้าอี้แล้วก้มศีรษะลงซุกอยู่ระหว่างหัวเข่า 2 ข้างเพื่อป้องกันไม่ให้เป็นลมหมดสติ

5. ถ้าเคยเป็นลมจากอากัปกิริยาบางอย่าง ให้หลีกเลี่ยงหรือควบคุมอากัปกิริยาที่เป็นสาเหตุ เช่น การไอ การเบ่งถ่าย เป็นต้น ถ้าเกิดจากความไวของคาโรติดไซนัส ก็ให้หลีกเลี่ยงการสวมใส่เสื้อหรือเน็กไทรัดคอ ใช้มีดโกนไฟฟ้าแทนมีดโกนธรรมดา


ข้อแนะนำ

1. ผู้ป่วยที่มีอาการเป็นลมส่วนใหญ่มักไม่มีสาเหตุที่ร้ายแรง และไม่มีอันตรายแต่อย่างใด ส่วนน้อยโดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้สูงอายุ ผู้ที่มีโรคเรื้อรังประจำ (เช่น โรคหัวใจและหลอดเลือด โรคสมอง ความดันโลหิตสูง เบาหวาน) อาจเกิดภาวะแทรกซ้อนตามมาได้

มีรายงานว่า หญิงตั้งครรภ์หากมีอาการเป็นลมบ่อย หรือมีอาการเป็นลมในระยะไตรมาสแรกของการตั้งครรภ์ หลังคลอดบุตรแล้ว อาจพบว่าเป็นโรคหัวใจในภายหลังได้ และอาจทำให้ทารกคลอดก่อนกำหนด หรือทารกพิการแต่กำเนิดได้

ดังนั้น ถ้าพบอาการเป็นลมในผู้สูงอายุ ผู้ที่มีโรคเรื้อรังประจำตัว หรือหญิงตั้งครรภ์ แม้ว่าอาการเป็นลมจะหายดีแล้ว ควรได้รับการตรวจเพิ่มเติมอย่างถี่ถ้วน และติดตามดูอาการอย่างต่อเนื่อง

2. ผู้ป่วยที่เป็นลมส่วนใหญ่จะไม่มีอาการชักเกร็งของแขนขาร่วมด้วย ส่วนน้อยอาจพบว่ามีอาการชักคล้ายโรคลมชัก ต่างกันที่ผู้ป่วยเป็นลมจะมีอาการชักตามหลังหมดสติ และชักเพียงช่วงสั้น ๆ (ส่วนใหญ่ไม่เกิน 15 วินาที) ในขณะที่ผู้ป่วยลมชักจะมีอาการชักพร้อม ๆ กับหมดสติ และมักจะชักนานเกิน 1 นาที อย่างไรก็ตาม ส่วนใหญ่มักจะยากที่จะวินิจฉัยแยกโรค 2 ชนิดนี้ได้

นอกจากนี้ ผู้ป่วยที่เป็นลมและมีอาการชักร่วมด้วย อาจพบว่ามีภาวะผิดปกติของหัวใจ (เช่น หัวใจเต้นผิดจังหวะ) ร่วมด้วย โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าพบในผู้ใหญ่

ดังนั้น เมื่อพบผู้ที่เป็นลมและมีอาการชัก เมื่ออาการทุเลาแล้วควรไปพบแพทย์โดยเร็ว เพื่อทำการตรวจพิเศษเพิ่มเติม เช่น การตรวจคลื่นไฟฟ้าสมอง เอกซเรย์คอมพิวเตอร์สมอง เป็นต้น

3. ผู้ที่เป็นลมที่ไม่มีสาเหตุจากโรคหัวใจและโรคสมอง มักไม่มีภาวะแทรกซ้อนร้ายแรง (ยกเว้นการบาดเจ็บจากอุบัติเหตุ) ควรป้องกันไม่ให้เป็นลมซ้ำ โดยการหลีกเลี่ยงเหตุกระตุ้น และรู้จักปฏิบัติตัวต่าง ๆ (ดังที่กล่าวไว้ในหัวข้อ "การป้องกัน" ด้านบน)

แต่ถ้ามีอาการเป็นลมบ่อย ควรหลีกเลี่ยงการเกิดอุบัติเหตุ เช่น การขับรถ การทำงานเกี่ยวกับเครื่องจักร การว่ายน้ำตามลำพัง การอยู่ในที่สูง เป็นต้น และควรปรึกษาแพทย์เพื่อการวินิจฉัยสาเหตุให้แน่ชัด

4. ในการปฐมพยาบาล ขั้นตอนสำคัญที่สุดและควรรีบทำเป็นอันดับแรก ก็คือ การจับผู้ป่วยนอนหงาย ศีรษะต่ำ เพื่อให้เลือดไปเลี้ยงสมองให้เพียงพอ ซึ่งมักจะช่วยให้ผู้ป่วยฟื้นได้ภายในเวลาสั้น ๆ ส่วนวิธีช่วยเหลืออื่น ๆ เช่น การให้ดมแอมโมเนีย การเรียกดัง ๆ การบีบนวด การใช้ผ้าเย็นเช็ดตามหน้าและคอ การพัดลม อาจมีส่วนช่วยกระตุ้นผู้ป่วย แต่ไม่ใช่วิธีการที่สำคัญในการช่วยให้ฟื้นสติ

5
ผ้ากันไฟ วัสดุกันไฟสมัยใหม่ นวัตกรรมป้องกันไฟไหม้เพื่อความปลอดภัย

ไฟไหม้เป็นหนึ่งในภัยพิบัติที่ก่อให้เกิดความเสียหายทั้งต่อชีวิตและทรัพย์สินอย่างมหาศาล แม้จะมีมาตรการป้องกันไฟไหม้หลายประการ แต่การใช้วัสดุกันไฟก็เป็นอีกหนึ่งวิธีที่ช่วยลดความเสี่ยงและผลกระทบจากไฟไหม้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ

วันนี้ผมจะพามาดูวัสดุกันไฟยุคใหม่ที่ได้มีบทบาทในการป้องกันไฟไหม้มากยิ่งขึ้น โดยอธิบายถึงคุณสมบัติ ประเภท และการใช้งานของวัสดุเหล่านี้ในอาคารและสิ่งปลูกสร้างต่าง ๆ

ความสำคัญของวัสดุกันไฟ ในยุคปัจจุบัน
การพัฒนาวัสดุกันไฟมีความสำคัญอย่างยิ่งในยุคปัจจุบัน เนื่องจากความต้องการในด้านความปลอดภัยของชีวิตและทรัพย์สินเพิ่มสูงขึ้น รวมถึงมาตรฐานการก่อสร้างที่เข้มงวดมากขึ้น วัสดุกันไฟสามารถช่วยชะลอการลุกลามของไฟ เพิ่มเวลาในการอพยพ และลดความเสียหายจากเพลิงไหม้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ

ตามรายงานของ National Fire Protection Association (NFPA) การใช้วัสดุกันไฟที่ได้มาตรฐานสามารถลดอัตราการเสียชีวิตและความเสียหายทางเศรษฐกิจได้อย่างมาก


ประเภทของวัสดุกันไฟยุคใหม่

วัสดุกันไฟในยุคปัจจุบันถูกพัฒนาให้มีความหลากหลายและตอบสนองต่อความต้องการในการใช้งานที่แตกต่างกัน โดยสามารถแบ่งประเภทได้ดังนี้:

1, วัสดุกันไฟเชิงโครงสร้าง (Structural Fireproofing Materials)

วัสดุกลุ่มนี้ใช้ในการเคลือบหรือห่อหุ้มโครงสร้างอาคาร เช่น คอนกรีต เหล็ก หรือไม้ เพื่อเพิ่มความทนทานต่อไฟ ตัวอย่างวัสดุกันไฟเชิงโครงสร้างได้แก่:

    ฉนวนกันไฟ (Fire-resistant Insulation) เช่น ฉนวนใยหิน (Rock Wool) และฉนวนใยแก้ว (Fiberglass) ที่มีคุณสมบัติทนความร้อนสูงและไม่ติดไฟง่าย
    สีพ่นกันไฟ (Intumescent Coating) สีชนิดนี้จะขยายตัวเมื่อสัมผัสความร้อน ทำให้สร้างชั้นกันไฟปกป้องโครงสร้างจากความร้อน

2. วัสดุกันไฟเชิงสถาปัตยกรรม (Architectural Fireproofing Materials)

วัสดุกลุ่มนี้ถูกออกแบบมาเพื่อใช้ในการตกแต่งภายในและภายนอกอาคาร ตัวอย่างเช่น:

    แผ่นยิปซัมกันไฟ (Fire-rated Gypsum Board) ใช้ในการก่อผนังหรือฝ้าเพดานที่ต้องการความทนไฟ
    กระจกกันไฟ (Fire-resistant Glass) กระจกชนิดนี้สามารถทนความร้อนได้สูงและไม่แตกง่ายเมื่อเจอไฟ

3. วัสดุป้องกันการลามไฟ (Flame-retardant Materials)

วัสดุกลุ่มนี้มีคุณสมบัติเฉพาะในการลดหรือชะลอการลุกลามของเปลวไฟ เช่น:

    ผ้ากันไฟ (Fire-retardant Fabrics) ใช้ในการทำม่านหรือเฟอร์นิเจอร์ที่ต้องการความปลอดภัยสูง
    โฟมกันไฟ (Fire-retardant Foam) ใช้ในการกันเสียงหรือเป็นฉนวนกันความร้อนในอาคาร


คุณสมบัติเด่นของวัสดุกันไฟยุคใหม่

วัสดุกันไฟยุคใหม่ถูกออกแบบมาให้มีคุณสมบัติ ที่ตอบโจทย์ความต้องการด้านความปลอดภัยและการใช้งาน ดังนี้:

1. ความทนทานต่อความร้อนสูง
วัสดุกันไฟสามารถทนความร้อนได้ตั้งแต่ 500 ถึง 1,200 องศาเซลเซียส ขึ้นอยู่กับประเภทของวัสดุ เช่น ฉนวนใยหินสามารถทนความร้อนได้สูงถึง 1,000 องศาเซลเซียส

2. ไม่เกิดควันหรือก๊าซพิษ
วัสดุบางชนิดเมื่อเผาไหม้จะไม่ปล่อยควันหรือก๊าซพิษที่เป็นอันตรายต่อชีวิต เช่น แผ่นยิปซัมกันไฟที่ไม่ปล่อยสารพิษเมื่อเผาไหม้ (UL Environment, 2021)

3. มีความสามารถในการชะลอการลุกลามของไฟ
วัสดุกันไฟหลายชนิดมีคุณสมบัติในการชะลอการลุกลามของไฟ เช่น สีพ่นกันไฟที่สามารถขยายตัวเป็นชั้นหนาเพื่อลดการส่งผ่านความร้อน

4. ความยืดหยุ่นในการใช้งาน
วัสดุกันไฟยุคใหม่ถูกออกแบบให้สามารถปรับใช้งานได้หลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นการก่อสร้างอาคารสูง โรงงานอุตสาหกรรม หรือบ้านพักอาศัย


การนำมาใช้งานในอุตสาหกรรมต่าง ๆ

วัสดุกันไฟถูกนำไปใช้ในอุตสาหกรรมและสาขาต่าง ๆ เพื่อเพิ่มความปลอดภัยในพื้นที่เสี่ยง:

1. อาคารสำนักงานและที่อยู่อาศัย

การใช้แผ่นยิปซัมกันไฟสำหรับผนังและฝ้าเพดาน รวมถึงการติดตั้งฉนวนใยหินในโครงสร้างหลัก ช่วยเพิ่มความปลอดภัยในกรณีเกิดไฟไหม้

2. โรงงานอุตสาหกรรม

การใช้วัสดุกันไฟเช่น สีพ่นกันไฟสำหรับโครงสร้างเหล็ก หรือโฟมกันไฟในระบบท่อ ช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดเพลิงไหม้ในพื้นที่ที่มีการจัดเก็บสารเคมี

3. อาคารสาธารณะและสถานที่สำคัญ

สถานที่สาธารณะ เช่น โรงพยาบาล โรงเรียน หรือสนามบิน ใช้วัสดุกันไฟเพื่อป้องกันการลุกลามของไฟและเพิ่มเวลาในการอพยพผู้คนออกจากพื้นที่

เทคโนโลยีใหม่ในวัสดุกันไฟ 2025
วัสดุกันไฟยุคใหม่ไม่ได้จำกัดเพียงการใช้วัสดุธรรมดา แต่มีการนำเทคโนโลยีเข้ามาช่วยในการเพิ่มประสิทธิภาพในการป้องกันไฟ:

1. นาโนเทคโนโลยีในวัสดุกันไฟ
การนำอนุภาคนาโนมาใช้ในวัสดุกันไฟช่วยเพิ่มความสามารถในการทนความร้อนและลดการลุกลามของไฟได้อย่างมีประสิทธิภาพ เช่น สีพ่นกันไฟที่ใช้เทคโนโลยีนาโนในการเสริมความแข็งแรง (Journal of Nanotechnology, 2020)

2. วัสดุผสมขั้นสูง (Advanced Composite Materials)
วัสดุผสมที่มีส่วนประกอบของใยแก้วหรือคาร์บอนไฟเบอร์ถูกนำมาใช้ในการสร้างวัสดุกันไฟที่มีน้ำหนักเบาแต่ทนทานสูง เหมาะสำหรับการใช้งานในอาคารที่ต้องการลดน้ำหนักโครงสร้าง

3. วัสดุกันไฟที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม
วัสดุกันไฟที่ผลิตจากวัสดุรีไซเคิลหรือวัสดุธรรมชาติ เช่น ฉนวนใยไม้ (Wood Fiber Insulation) ที่ไม่เพียงแต่ทนไฟได้ดี แต่ยังช่วยลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม

6
บริหารจัดการอาคาร: การดูแลฝ้าเพดานในบ้าน

“บ้าน” นอกจากจะเป็นที่อยู่อาศัยและเป็นพื้นที่สำหรับการพักผ่อนยามเหนื่อยล้าหลังจากทำงาน ยังเป็นสถานที่ที่ทุกคนในบ้านอยู่แล้วสบายใจที่สุด หากบ้านเกิดการชำรุด เสื่อมโทรมลง ต้องทำการบำรุงรักษาให้กลับมาน่าอยู่อีกครั้ง เพราะบ้านเป็นหัวใจสำคัญของการพักผ่อนที่มีคุณภาพ ถ้าเราดูแลรักษาบ้านให้แข็งแรงอยู่เสมอ บ้านก็จะสวย ดูดี คงทนนาน สามารถยืดเวลาการพักอาศัยไปได้อีกหลายปีเลยทีเดียว

ดังนั้น เราควรหมั่นตรวจสอบสภาพของบ้านโดยรวม หากมีอะไรที่เสียหายหรือทรุดโทรม ควรรีบทำการบำรุงรักษา เพื่อให้บ้านกลับมาสวย ดูดี และมีความแข็งแรงอยู่เสมอ โครงสร้างบ้านของเราประกอบไปด้วยหลายส่วนไม่ว่าจะเป็นผนัง หลังคา ฝ้าเพดาน และอื่นๆอีกมากมายที่เราจะต้องคอยดูให้มีความแข็งแรงอยู่เสมอ เพราะถ้าหากเกิดการชำรุด แน่นอนว่าจะทำให้เราเจอปัญหาได้ จากปัญหาเล็กๆ


อาจจะกลายเป็นปัญหาใหญ่ได้ในที่สุด ซึ่งวันนี้ เรามีเคล็ดลับเกี่ยวกับการดูแลฝ้าเพดานมาฝาก ซึ่งถือว่าเป็นจุดที่ทำความสะอาดได้ยาก เนื่องจากมีความสูง ซึ่งเราอาจจะไม่ได้ดูแลอะไรมากนัก แต่ต้องบอกเลยว่าเป็นแหล่งสะสมของฝุ่นและเชื้อโรคมากมาย หากไม่ดูแลทำความสะอาดอาจจะส่งผลต่อสุขภาพของคนในบ้านได้
 
ฝ้าเพดาน เป็นส่วนที่หลายคนมักมองข้ามในการทำความสะอาดและบำรุงรักษา  ฝ้าเพดานเป็นแหล่งสะสมของสิ่งสกปรก เชื้อโรค และฝุ่นจำนวนมาก  ซึ่งสิ่งสกปรกเหล่านี้หากเราปล่อยปะละเลยเป็นเวลานาน จะกลายเป็นแหล่งเพาะเชื้อโรคต่างๆ ซึ่งการดูแลฝ้า เราสามารถติดตั้งโครงคร่าวได้ การเลือกใช้โครงคร่าวและโครงฝ้าเพดาน เราจะต้องเลือกใช้วัสดุที่มีมาตรฐาน

หากอุปกรณ์ที่ติดตั้งไม่ได้มาตรฐานจะส่งผลให้ฝ้าเพดานแอ่น รับน้ำหนักนานไม่ไหวและมีอายุการใช้งานสั้น อาจะทำให้เกิดช่องโหวได้ง่าย หรือตะใช้วิธีการติดตั้งช่องเซอร์วิส เนื่องจากการถอดฝ้าเพดานออกมาซ่อมแซมและบำรุงรักษาระบบที่อยู่ด้านบนนั้นไม่ใช่สิ่งที่ทำได้ง่ายๆ ควรติดตั้งช่องเซอร์วิส ซึ่งเป็นช่องที่ช่วยให้เราสามารถขึ้นไปตรวจตรา และซ่อมแซมความเสียหายที่เกิดขึ้นด้านบนฝ้าเพดานได้สะดวกยิ่งขึ้น

นอกจากนี้ การเลือกใช้แผ่นฝ้า ก็มีความสำคัญเช่นกัน เพราะถ้าหากมีเชื้อราหรือคราบสกปรกที่เช็ดไม่ออกบนฝ้าเพดาน ก็จะสามารถทำความสะอาดได้ง่าย เช่น เฝ้าที-บาร์ เราสามารถเปลี่ยนได้เลย หรือถ้าเป็นฝ้าเพดานแบบฉาบเรียบ เราสามารถซ่อมแซมแก้ไขได้ โดยใช้มีดคัตเตอร์กรีดฝ้าตรงส่วนที่สกปรกนั้นออกเป็นรูปสี่เหลี่ยม
 
เว้นตรงส่วนโครงฝ้าเพดานไว้ แล้วตัดแผ่นยิปซัมแผ่นใหม่ให้มีขนาดเท่ากันปิดเข้าไป ใช้เทปปิดรอย หรือยิงสกรูติดฝ้าเพดานไว้แล้วทาสีทับอีกที แต่ต้องอย่าลืมว่า การทาสีฝ้าใหม่นั้น อาจไม่ตรงกับสีเดิม เนื่องจากความเก่าตามอายุการใช้งานของสี ดังนั้น หากพื้นที่ฝ้าเพดานนั้นไม่มากนัก ควรทาสีฝ้าเพดานบริเวณนั้นใหม่ทั้งหมดเพื่อคงความสวยงาม และจะช่วยปกปิดรอยซ่อมแซม 

 
เมื่อซ่อมแซมเสร็จแล้ว ควรตรวจสอบความเรียบร้อย ก่อนจะทำการปิดฝ้าเพดาน ควรต้องตรวจตราสิ่งต่างๆที่อยู่ด้านบนฝ้าเพดานให้เรียบร้อยก่อน ทั้งสายไฟ ท่อน้ำ และระบบอื่นๆ ควรอยู่อย่างเป็นระเบียบ จะได้ไม่เป็นปัญหาหากต้องซ่อมแซมฝ้าเพดานอีกในครั้งต่อไป อย่างไรก็ตาม การทำความสะอาดบ้านในส่วนของฝ้าเพดานค่อนข้างลำบากพอสมควร  ฃสามารถเลือกใช้ฝ้าเพดานให้เหมาะสมกับบ้าน การทำความสะอาดก็ไม่ใช้เรื่องยากมากมายอะไรอีกต่อไป ช่วยกันดูแลรักษาความสะอาดฝ้าเพดานเป็นประจำสัปดาห์ละครั้ง ก็ทำให้บ้านของเราสวยงามน่าอยู่มากยิ่งขึ้น
 
หากใครสนใจที่จะบำรุงรักษาอาคารบ้านเรือน สามารถติดต่อได้ เพราะมีผู้เชี่ยวชาญด้านทำความสะอาดในด้านต่าง ๆ และสามารถออกแบบรูปแบบงานเพื่อให้สอดคล้องกับความต้องการของลูกค้า และเรายังมีบริการทำความสะอาดอาคารบ้านเรือน ทำความสะอาดพื้นที่ส่วนกลาง บริการตัดแต่งสวนและภูมิทัศน์ กำจัดแมลง รวมถึงบริการพ่นฆ่าเชื้อ เรียกได้ว่ามาที่เดียว สามารถให้บริการได้อย่างครบวงจร และเป็นมืออาชีพอย่างแน่นอน

7
หมอประจำบ้าน: โรคเชื้อราแคนดิดา (Candidiasis/Moniliasis)

โรคเชื้อราแคนดิดา พบได้ในบริเวณซอกผิวหนังที่มีเหงื่ออับชื้น ในช่องปาก และช่องคลอด

โรคนี้พบได้ในคนทุกวัย พบมากในเด็กอ่อน คนอ้วน ผู้สูงอายุ หญิงตั้งครรภ์ เบาหวาน เอดส์ มะเร็ง ผู้ที่ใช้ยาปฏิชีวนะหรือสเตียรอยด์นาน ๆ


สาเหตุ

เกิดจากเชื้อแคนดิดาอัลบิแคนส์ (Candida albicans) ซึ่งมีอยู่ประจำถิ่นหรือเป็นปกติวิสัย (normal flora) ในร่างกาย เช่น ช่องปาก ทางเดินอาหาร ทางเดินปัสสาวะ ช่องคลอด ผิวหนัง เมื่อร่างกายมีภูมิคุ้มกันต่ำ (เช่น กินยาสเตียรอยด์ หรือยารักษามะเร็ง เป็นเบาหวาน เอดส์) หรือมีการเปลี่ยนแปลงสภาพความเป็นกรดด่าง (เช่น การกินยาปฏิชีวนะ การตั้งครรภ์) ก็จะทำให้เชื้อราชนิดนี้เจริญจนเกิดเป็นโรคขึ้นได้


อาการ

ช่องปาก พบเป็นฝ้าขาวที่ลิ้น หรือตามเยื่อเมือกในช่องปาก (ดู "โรคปากนกกระจอก" เพิ่มเติม)
   
ช่องคลอด มีอาการตกขาว คัน (ดู "ช่องคลอดอักเสบ" เพิ่มเติม)

     ผิวหนัง พบมากบริเวณซอกผิวหนังที่มีเหงื่ออับชื้น เช่น ซอกรักแร้ ขาหนีบ ใต้ราวนม สะดือ ซอกสะโพก ง่ามนิ้ว เป็นต้น ลักษณะเป็นรอยแดงแบบหนังถลอก มีขอบเขตชัดเจน รอบ ๆ จะมีผื่นแดงเล็ก ๆ กระจายตัวอยู่ อาจมีอาการคันร่วมด้วย

โรคเชื้อราแคนดิดาที่พบตามซอกผิวหนังนี้มีชื่อเรียกว่า "Intertriginous candidosis"

เล็บ โรคเชื้อราแคนดิดาที่เล็บ (candida paronychia หรือ onychomycosis) พบในผู้ที่ต้องใช้มือแช่น้ำหรือเปียกน้ำอยู่เสมอ หรือในผู้ป่วยเบาหวาน แรกเริ่มจะมีอาการบวมแดงที่ขอบเล็บ กดเจ็บ พบได้มากกว่า 1 นิ้วพร้อมกัน บางครั้งกดดูจะมีหนองออกจากใต้เล็บ เนื่องจากมีการติดเชื้อจากแบคทีเรียแทรกซ้อน เมื่อปล่อยให้เป็นเรื้อรังเล็บส่วนปลายจะแยกจากเนื้อเยื่อใต้เล็บ (เรียกว่า onycholysis) และบริเวณใต้เล็บจะเห็นเป็นสีขาวหรือเหลือง ต่อมาเล็บจะเสียและเปลี่ยนรูปร่าง มีร่องขวางลักษณะขรุขระที่ตัวเล็บ แต่เล็บไม่ผุหรือกร่อนแบบโรคกลากที่เล็บ


ภาวะแทรกซ้อน

ส่วนใหญ่ไม่มีภาวะแทรกซ้อนร้ายแรง

ผู้ป่วยเอดส์และผู้ที่มีภูมิคุ้มกันต่ำ (เช่น ผู้ป่วยมะเร็งหรือได้เคมีบำบัด) เชื้อราอาจลุกลามจากช่องปากลงไปที่หลอดอาหารและกระเพาะอาหาร รวมทั้งอาจแพร่กระจาย ทำให้เกิดการอักเสบของอวัยวะอื่น ๆ ทั่วร่างกาย เช่น หลอดอาหารอักเสบ กระเพราะอาหารอักเสบ ปอดอักเสบ เยื่อบุหัวใจอักเสบ เยื่อบุช่องท้องอักเสบ ตับอักเสบ ม้ามอักเสบ ทางเดินปัสสาวะอักเสบ จอตาอักเสบ เป็นต้น


การวินิจฉัย

แพทย์จะวินิจฉัยจากอาการและสิ่งตรวจพบ หากไม่แน่ใจหรือรักษาแล้วไม่ได้ผล แพทย์จะทำการส่งต่อเพื่อตรวจเพิ่มเติม โดยการขูดเอาผิวหนังหรือเล็บส่วนนั้นใส่น้ำยาโพแทสเซียมไฮดรอกไซด์ชนิด 10% แล้วนำไปส่องตรวจด้วยกล้องจุลทรรศน์

การรักษาโดยแพทย์

แพทย์จะให้การดูแลรักษา ดังนี้

1. ถ้าเป็นที่ซอกผิวหนัง หรือขอบเล็บ ทาด้วยครีมรักษาโรคเชื้อรา (เช่น โคลไตรมาโซล คีโทโคนาโซล) วันละ 2 ครั้ง นาน 2 สัปดาห์ ควรรักษาบริเวณนั้นให้แห้งและสะอาดอยู่เสมอ

2. ถ้าเล็บแยก ควรตัดเล็บส่วนนั้นออก แล้วใช้ยาทาตรงเล็บและเนื้อเยื่อใต้เล็บ

3. ถ้าไม่ได้ผล ให้กินยาฆ่าเชื้อรา (เช่น ไอทราโคนาโซล, ฟลูโคนาโซล) นาน 2-6 สัปดาห์

4. ในรายที่เป็น ๆ หาย ๆ เรื้อรัง แพทย์จะตรวจหาสาเหตุ อาจมีภาวะผิดปกติของร่างกายอื่น ๆ (เช่น เอดส์ เบาหวาน)


การดูแลตนเอง

หากสงสัย เช่น มีผื่นรอยแดงแบบหนังถลอกบริเวณซอกผิวหนังที่มีเหงื่ออับชื้น (เช่น ซอกรักแร้ ขาหนีบ ใต้ราวนม สะดือ ซอกสะโพก ง่ามนิ้ว เป็นต้น หรือมีอาการบวมแดงที่ขอบเล็บและกดเจ็บ หรือมีอาการตกขาวและคัน ควรปรึกษาแพทย์

เมื่อตรวจพบว่าเป็นโรคเชื้อราแคนดิดา ควรดูแลตนเอง ดังนี้

    รักษา ใช้ยารักษาเชื้อรา และปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์
    ติดตามรักษากับแพทย์ตามนัด


ควรกลับไปพบแพทย์ก่อนนัด ถ้ามีลักษณะข้อใดข้อหนึ่ง ดังต่อไปนี้

    ดูแลรักษาแล้วอาการไม่ทุเลาใน 1 สัปดาห์
    ขาดยา ยาหาย หรือกินยาไม่ได้
    ในรายที่แพทย์ให้ยากลับไปกินต่อที่บ้าน กินยาแล้วสงสัยเกิดผลข้างเคียงจากยา เช่น มีลมพิษ ผื่นคัน ตุ่มพุพอง ตาบวม ปากบวม ปวดท้อง ท้องเดิน คลื่นไส้ อาเจียน จุดแดงจ้ำเขียว หรือมีอาการผิดปกติอื่น ๆ


การป้องกัน

1. พยายามทำความสะอาดซอกผิวหนัง อย่าให้มีเหงื่ออับชื้น และหลับอาบน้ำควรซับบริเวณซอกผิวหนังให้แห้ง และใช้แป้งโรย

2. อย่ากินยาปฏิชีวนะติดต่อกันนาน ๆ

3. ถ้าเป็นเบาหวาน ควรควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดให้อยู่ในเกณฑ์ปกติ


ข้อแนะนำ

1. โรคเชื้อราแคนดิดาอาจพบในผู้ที่มีภูมิคุ้มกันต่ำ เช่น ผู้ป่วยเอดส์ เบาหวาน หรือกินยารักษามะเร็งเป็นประจำ เป็นต้น ถ้าพบผู้ที่เป็นโรคเชื้อราแคนดิดาเรื้อรัง ควรค้นหาสาเหตุและแก้ไข

2. หลีกเลี่ยงการซื้อยาครีมสเตียรอยด์ (แก้แพ้แก้คัน) หรือยาอื่นที่ไม่ใช่ยารักษาเชื้อราที่แพทย์หรือเภสัชกรแนะนำมาใช้เอง เนื่องเพราะครีมสเตียรอยด์อาจทำให้โรคลุกลามได้ ส่วนยาน้ำที่ทาแล้วที่รู้สึกแสบ ๆ อาจทำให้ผิวหนังไหม้และอักเสบได้

3.หากสงสัยโรคเชื้อราแคนดิดาที่เล็บ (ขอบเล็บแดง กดเจ็บ เล็บส่วนปลายแยกจากเนื้อเยื่อใต้เล็บ) ลองให้ยารักษาโรคเชื้อราแล้วไม่ได้ผล ควรสงสัยว่าอาจเป็นโรคโซริอาซิส

8
การเลือกของขวัญที่ได้ลุ้นแบบสุด ๆ กับกล่องสุ่มฟิกเกอร์ 

การเลือก กล่องสุ่มฟิกเกอร์ เป็นของขวัญที่ได้ลุ้นแบบสุด ๆ เป็นไอเดียที่น่าสนุกและตื่นเต้นมากเลยค่ะ! โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับเพื่อนร่วมงานที่ชอบสะสมฟิกเกอร์, ชอบตัวการ์ตูน, หรือเป็นคนที่สนุกกับการเซอร์ไพรส์และชอบความท้าทายเล็ก ๆ น้อย ๆ ลองมาดูเคล็ดลับในการเลือกกล่องสุ่มฟิกเกอร์ให้โดนใจผู้รับกันค่ะ


1. รู้จัก "แนว" ของผู้รับ

สิ่งสำคัญที่สุดคือการพยายามเดาแนวความชอบของผู้รับค่ะ ถึงแม้จะเป็นกล่องสุ่ม แต่ก็ควรสุ่มในหมวดหมู่ที่เขาน่าจะสนใจ

ชอบตัวการ์ตูน/อนิเมะ:

แนวไหน: การ์ตูนญี่ปุ่น (อนิเมะ/มังงะ), การ์ตูนฝั่งตะวันตก (Disney, Pixar, Marvel, DC), เกม

ตัวละครที่ชอบ: มีตัวละครโปรดเป็นพิเศษไหม? (เช่น ชอบ Sanrio, One Piece, Marvel Heroes)

ชอบสะสมฟิกเกอร์/โมเดลอยู่แล้ว:

ประเภทที่สะสม: Pop Mart, Art Toy, Gashapon (กาชาปอง), Nendoroid, Figma, Bandai (กันดั้ม/วันพีช)

ขนาดที่ชอบ: เล็กจิ๋ว (สำหรับวางโต๊ะทำงาน), ขนาดกลาง (ตั้งโชว์), หรือขนาดใหญ่ (เป็นของสะสมหลัก)

เป็นคนชอบของน่ารัก/ของเก๋ๆ:

ไม่เน้นการ์ตูน: อาจเลือกกล่องสุ่ม Art Toy ที่เน้นดีไซน์แปลกใหม่ น่ารัก หรือมีสไตล์เฉพาะตัว


2. เลือกแบรนด์/ซีรีส์ที่นิยมและเข้าถึงง่าย

สำหรับของขวัญให้เพื่อนร่วมงานที่ไม่ได้เป็นนักสะสมขั้นสุด การเลือกแบรนด์ที่คนทั่วไปรู้จักหรือเข้าถึงได้ง่ายจะดีกว่าค่ะ

Pop Mart: เป็นที่นิยมอย่างมากในปัจจุบัน มีคอลเลกชันหลากหลาย ตัวละครน่ารัก ดีไซน์เก๋ไก๋ มีหลายซีรีส์ให้เลือกตามความชอบ (เช่น Molly, Dimoo, SKULLPANDA, Labubu) และราคาอยู่ในช่วงที่เหมาะสมกับการเป็นของขวัญจับฉลาก

Gashapon (กาชาปอง): ฟิกเกอร์ขนาดเล็ก น่ารัก ราคาไม่แพง หาซื้อง่าย มีหลากหลายธีม ทั้งการ์ตูน สัตว์ สิ่งของ

Small Blind Box (กล่องสุ่มขนาดเล็ก): แบรนด์อื่นๆ ที่ไม่ใช่ Pop Mart ที่มีฟิกเกอร์ขนาดเล็กน่ารักๆ เหมาะสำหรับตั้งโชว์บนโต๊ะทำงาน

LEGO Minifigures (กล่องสุ่มตัวละคร LEGO): สำหรับคนชอบ LEGO เป็นอีกทางเลือกที่น่าสนใจ


3. พิจารณางบประมาณ

กล่องสุ่มฟิกเกอร์มีราคาหลากหลาย ตั้งแต่หลักสิบ (กาชาปอง) ไปจนถึงหลักร้อยปลายๆ หรือพันต้นๆ (Pop Mart, Art Toy)

งบ 500 บาท:

Pop Mart: สามารถซื้อได้ 1 กล่องสุ่มพอดี หรืออาจจะบวกเพิ่มอีกนิดหน่อย ขึ้นอยู่กับซีรีส์

กาชาปอง: สามารถซื้อได้หลายอัน หรือซื้อแบบเป็นเซ็ตที่คัดมาแล้ว

Blind Box แบรนด์อื่นๆ: มีตัวเลือกมากมายในเรทราคานี้

งบที่ต่ำกว่า 500 บาท: กาชาปอง หรือ Blind Box ขนาดเล็กก็เป็นตัวเลือกที่ดี


4. ดูรายละเอียดของซีรีส์/คอลเลกชัน

แม้จะเป็นกล่องสุ่ม แต่เราก็ยังสามารถเลือกซีรีส์ได้!

ธีม: ซีรีส์นั้นเป็นธีมเกี่ยวกับอะไร? (เช่น ธีมธรรมชาติ, ธีมเทศกาล, ธีมอาชีพ, ธีมสัตว์) เลือกธีมที่น่าจะเหมาะกับบุคลิกของเพื่อนร่วมงาน

ความน่ารัก/ดีไซน์: ฟิกเกอร์ในซีรีส์นั้นมีดีไซน์โดยรวมเป็นอย่างไร? น่ารักไหม? มีตัวที่เราคิดว่าเพื่อนร่วมงานน่าจะชอบอย่างน้อย 1-2 ตัวไหม?

มี Secret Figure ไหม: หลายซีรีส์จะมี "ตัวลับ" ที่หายาก การรู้ว่ามีตัวลับก็เพิ่มความตื่นเต้นในการลุ้นได้อีก


5. สถานที่ซื้อ

ร้านขายของเล่น/ฟิกเกอร์โดยเฉพาะ: เช่น K-Doll, Pop Mart Shop, ร้านนำเข้า

ห้างสรรพสินค้า: บางห้างมีโซน Pop Mart หรือร้านขายของเล่น

ร้านสะดวกซื้อ/ซูเปอร์มาร์เก็ต: มีกาชาปอง หรือ Blind Box ขนาดเล็ก

ร้านค้าออนไลน์: เว็บไซต์ e-commerce ทั่วไป หรือเพจขายฟิกเกอร์


6. เพิ่มความพิเศษ

ห่อของขวัญให้ดูน่าตื่นเต้น: ใช้กระดาษห่อที่ดูสนุกสนาน หรือกล่องที่น่าสนใจ

แนบการ์ดอวยพร: เขียนข้อความสั้นๆ ว่า "ขอให้โชคดีกับการสุ่มนะ! หวังว่าจะได้ตัวที่ถูกใจ/ตัวลับนะ!" เพื่อเพิ่มความสนุกในการแกะ

การให้กล่องสุ่มฟิกเกอร์เป็นของขวัญเป็นการมอบความสุขที่มาพร้อมกับความตื่นเต้นและการได้ลุ้นค่ะ เป็นของขวัญที่แสดงถึงความเข้าใจในความสนุกเล็กๆ น้อยๆ ของชีวิตได้อย่างดีเยี่ยม!

9
การทำความสะอาดช่องปากและฟัน สำหรับเด็กที่เข้ารับการจัดฟันเด็ก

การดูแลรักษาความสะอาดของสุขภาพช่องปากและฟัน ถือว่าเป็นเรื่องสำคัญมาก ไม่ว่าจะเป็นเพศไหนหรือช่วงอายุใด ยิ่งสุขภาพช่องปากและฟันในเด็กที่กำลังอยู่ในวัยเจริญเติบโตนั้น พ่อแม่ผู้ปกครองยิ่งต้องดูแลเอาใจใส่ให้มากเป็นพิเศษ เพราะในช่วงวัยเด็ก ยังมีฟันน้ำนม ซึ่งฟันน้ำนมก็มีความสำคัญไม่แพ้กันกับฟันแท้เลย พ่อแม่ผู้ปกครองอาจจะมองว่า ฟันน้ำนม ไม่มีความสำคัญเพราะยังไง ฟันน้ำนมก็ต้องหลุดอยู่แล้ว เพื่อให้ฟันแท้ขึ้นมาแทนที่ นั่นถือเป็นความคิดที่ผิด เพราะฟันน้ำนมมีความสำคัญมาก ส่งผลต่อการขึ้นของฟันแท้ เพราะฟันน้ำนมมีบทบาทสำคัญในลำดับขั้นพัฒนาการของเด็ก นอกจากจะเป็นตำแหน่งที่จะเกิดฟันแท้มาแทนที่แล้ว ยังสามารถช่วยในเรื่องลักษณะทางกายภาพให้มีโครงสร้างร่างกายเป็นปกติ มีฟันไว้ช่วยบดเคี้ยวอาหารที่ดีได้ หากฟันน้ำนมมีสุขภาพดี ไม่ผุกร่อนหรือติดเชื้อ ก็จะส่งเสริมพัฒนาการฟันแท้ที่จะงอกตามมาให้สมบูรณ์แข็งแรงตามไปด้วย


ดังนั้น พ่อแม่ผู้ปกครองควรที่จะปลูกฝังให้บุตรหลาของท่าน หันมาเอาใจใส่ในเรื่องของการดูแลสุขภาพช่องปากและฟัน ตั้งแต่อายุยังน้อย เพื่อที่จะได้เติบโตไปเป็นผู้ใหญ่ที่มีสุขภาพฟันที่แข็งแรง อย่างไรก็ตาม อย่างที่กล่าวไปตั้งแต่ต้น ว่า พ่อแม่ผู้ปกครองส่วนใหญ่อาจจะมองว่า ฟันน้ำนมไม่มีความสำคัญ จึงอาจจะปล่อยประละเลย ทำให้เด็กเกิดฟันผุและมีปัญหาฟันตามมาได้ จึงเป็นสาเหตุของการสูญเสียฟันตั้งแต่ในวัยเด็ก ซึ่งปัญหาดังกล่าวมักจะพบได้บ่อย และต้องลงเอยด้วยการรักษาด้วยการจัดฟันในเด็ก ซึ่งต้องบอกว่า การจัดฟันในเด็ก ก็สามารถแก้ไขปัญหาฟันได้อย่างมีประสิทธิภาพเลยทีเดียว แถมยังช่วยปรับโครงสร้างของใบหน้าเด็กได้ด้วย ทำให้เด็กมีใบหน้าที่เข้ารูปสวย น่ารักสมวัย และที่สำคัญการจัดฟันในเด็กนั้น ยังช่วยส่งเสริมให้เด็กได้เห็นถึงความสำคัญของการดูแลรักษษความสะอาดฟันด้วย

สำหรับวันนี้ทางคลินิกของเราจะมาพูดถึงเรื่องของการดูแลรักษาความสะอาดฟันอย่างถูกวิธี สำหรับเด็กที่เข้ารับการจัดฟันในเด็ก ซึ่งต้องบอกว่า การดูแลรักษาความสะอาดช่องปากและฟัน ในช่วงของการจัดฟันเป็นเรื่องที่สำคัญมาก เพราะหลายคนที่เข้ารับการจัดฟัน ไม่ว่าจะเป็นการจัดฟันในรูปแบบใดหรือช่วงอายุใด คงมักเจอกับปัญหาในระหว่างการทำความสะอาดฟัน โดยอาจจะทำความสะอาดช่องปากและฟันได้ไม่ทั่วถึง หรือไม่สามารถแปรงฟันได้อย่างเต็มที่ เพราะมีข้อจำกัด นั่นก็คือ การมีเครื่องมือการจัดฟันติดตั้งอยู่ภายในช่องปากของเรา ซึ่งส่งผลทำให้ประสิทธิภาพในการทำความสะอาดช่องปากและฟันลดลง

ซึ่งในการจัดฟันในเด็ก พ่อแม่ผู้ปกครอง ควรที่สอนให้ลูกแปรงฟันอย่างถูกวิธี และควรที่จะมีอุปกรณ์เสริมในการทำความสะอาดฟัน เพื่อที่จะได้ทำความสะอาดฟันได้อย่างเต็มที่และสะอาดทุกซอก ทุกมุม สำหรับวิธีการทำความสะอาดช่องปากและฟัน สำหรับเด็กที่เข้ารับการจัดฟันในเด็ก ต้องบอกก่อนว่า การแปรงฟันให้สะอาด การใช้ไหมขัดฟัน เป็นสิ่งจำเป็นมากสำหรับการมีสุขภาพในช่องปากและฟันที่ดี  ไม่ว่าเด็กๆ จะเข้ารับการจัดฟันหรือไม่ก็ตาม แต่ในขณะที่เข้ารับการจัดฟัน อาจทำให้เด็กใช้ไหมขัดฟันได้ลำบาก เพราะอาจจะยังไม่รู้วิธีการใช้ ดังนั้น พ่อแม่ผู้ปกครองควรซื้อสายร้อยไหมขัดฟัน  ซึ่งทำจากพลาสติก ด้านหนึ่งเป็นห่วงสำหรับร้อยไหมขัดฟัน อีกด้านหนึ่งมีลักษณะเป็นปลายแหลม เพื่อช่วยนำไหมขัดฟันเข้าทำความสะอาด

โดยเฉพาะบริเวณใต้สะพานฟัน ฟันที่เชื่อมกัน หรืออาจจะใช้ Super floss ซึ่งเป็นอุปกรณ์ที่ประกอบด้วย ก้านพลาสติก ส่วนฟองน้ำ และส่วนไหมขัดฟันปกติ  ที่มีประสิทธิภาพ สามารถใช้ทำความสะอาดโดยใช้ส่วนก้านพลาสติกร้อยใต้สะพานฟัน ฟันที่เชื่อมกัน หรือซอกฟันที่ติดเครื่องมือจัดฟัน แล้วใช้ส่วนฟองน้ำทำความสะอาดใต้สะพานฟัน ส่วนไหมขัดฟันปกติใช้ทำความสะอาดซอกฟันอื่นๆ


อย่างไรก็ตาม เพื่อให้การรักษาได้ผลที่ดีที่สุด และเพื่อสุขภาพในช่องปากที่ดี ผู้ปกครองควรพาเด็กๆ ไปพบทันตแพทย์ เพื่อตรวจฟัน อุดฟัน ขูดหินปูน อย่างสม่ำเสมอ หากพ่อแม่ผู้ปกครองท่านใด สนใจพาบุตรหลานของท่านเข้ารับการจัดฟันในเด็ก สามารถติดต่อขอรับคำแนะนำจากทางคลินิกได้ เพราะทางเรามีทันตแพทย์ที่มีความเชี่ยวชาญในด้านการจัดฟันในเด็ก ที่จะให้คำปรึกษาและแนะนำขั้นตอนการจัดฟันในเด็ก เพื่อให้บุตรหลานของท่านมีฟันที่สวยงามและมีสุขภาพช่องปากและฟันที่แข็งแรง

10
ผลกระทบที่เกิดขึ้นจากเสียงดัง
ในโรงงานอุตสาหกรรม
โรงงานหรือสถานประกอบกิจการที่มีปัญหาด้านเสียงเกินค่ามาตรฐาน อาจสร้างผลกระทบทั้งด้านอาชีวอนามัยและความปลอดภัยในการทำงานต่อพนักงานในโรงงานเอง หรืออาจก่อให้เกิดมลพิษทางเสียงต่อชุมชนและสภาพแวดล้อมที่อยู่ด้านนอกโรงงาน หากเจ้าของแหล่งกำเนิดเสียงหรือผู้เกี่ยวข้องปล่อยปละละเลย ไม่จัดทำโครงการควบคุมเสียงหรือแก้ไขปัญหาดังกล่าวไม่สำเร็จ จะทำให้มีผลกระทบตามมา เช่น

•   เป็นผู้กระทำผิดกฎหมายด้านเสียง มีทั้งโทษปรับและจำคุก
•   ลูกจ้างอาจเกิดภาวะสูญเสียการได้ยินแบบชั่วคราวหรือแบบถาวร
•   ประสิทธิภาพการทำงานของพนักงานลดลงจากเสียงเกินค่ามาตรฐาน
•   ถูกร้องเรียนจากชุมชนหรือผู้ได้รับผลกระทบทางเสียงที่อยู่นอกโรงงาน
•   โรงงานหรือสถานประกอบกิจการอาจถูกสั่งปิดปรับปรุง จนกว่าจะแก้ไขแล้วเสร็จ

ทำไมต้องใช้บริการจาก
“NEWTECH INSULATION” ในการควบคุมเสียง?
ด้วยประสบการณ์กว่า 15 ปี ในการควบคุมเสียงอุตสาหกรรม เรามีความพร้อมทั้งด้านบุคลากรเฉพาะทางที่มีความรู้ด้านเสียงและความสั่นสะเทือน เครื่องมืออันทันสมัยที่ได้มาตรฐานตามที่กฎหมายกำหนด รวมถึงประสบการณ์ด้านการแก้ไขปัญหาเสียงอุตสาหกรรมที่มีทั้งในและต่างประเทศ ผู้ใช้บริการจึงมั่นใจได้ว่าปัญหาด้านเสียงในโรงงานหรือสถานประกอบกิจการจะได้รับการแก้ไขได้อย่างตรงจุด ด้วยค่าใช้จ่ายที่น้อยที่สุด เพราะเราเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านการควบคุมเสียงในอุตสาหกรรม
– บริษัทฯ ขึ้นทะเบียนและได้รับใบอนุญาตเป็นนิติบุคคลผู้ให้บริการตรวจวัดและวิเคราะห์สภาวะการทำงานเกี่ยวกับระดับเสียง โดยกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน
– บุคลากรของบริษัทฯ ได้รับใบอนุญาตเป็นผู้ควบคุมมลพิษเสียงและความสั่นสะเทือน จากสภาวิชาชีพวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
– มีทีมงานที่มากประสบการณ์และความรู้ ได้แก่ วิศวกร นักสิ่งแวดล้อมอุตสาหกรรม เจ้าหน้าที่ความปลอดภัยในการทำงาน ช่างเทคนิค รวมไปถึงช่างประกอบและติดตั้งระบบควบคุมเสียง
– มีเครื่องมือที่ได้มาตรฐานไว้ให้บริการทั้งด้านฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์
– มีสินค้าสำหรับควบคุมเสียงและความสั่นสะเทือนให้เลือกหลากหลายรูปแบบ เช่น ผนังกันเสียง ห้องเก็บเสียง ม่านกันเสียง ตู้ครอบลดเสียง แจ็คเก็ตลดเสียง ไซเลนเซอร์ อคูสติคลูเวอร์ อุปกรณ์แยกความสั่นสะเทือน เป็นต้น
– มีการประเมินหรือทำตัวแบบจำลองระดับเสียง ก่อน-หลัง ปรับปรุงให้ลูกค้าใช้เป็นข้อมูลในการตัดสินใจ ช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายและเวลาในการแก้ปัญหาด้านเสียง
– รับประกันระดับเสียงที่ลดลง อยู่ในเกณฑ์ที่กฎหมายกำหนด
– รับประกันคุณภาพสินค้าและฝีมือการติดตั้งทุกงาน

บริษัท นิวเทค อินซูเลชั่น จำกัด
ผู้เชี่ยวชาญด้านการควบคุมเสียงในโรงงานอุตสาหกรรม
จากประสบการณ์ในการแก้ไขปัญหาด้านเสียงมายาวนาน ไม่ว่าจะเป็นเสียงทางอาชีวอนามัยและความปลอดภัยในการทำงาน และเสียงทางสิ่งแวดล้อม
ทางบริษัทฯ ยินดีให้คำแนะนำที่ทำได้จริงสำหรับการแก้ปัญหาด้านมลภาวะทางเสียงที่เกิดขึ้น เพื่อให้ทั้งโรงงาน พนักงาน หรือชุมชนโดยรอบอยู่ร่วมกันได้
“เพราะเรา…เข้าใจเรื่องเสียง”

สนใจสั่งซื้อ
เบอร์โทร:  02-583-8035 , 02-583-8034, 098-995-4650
E-mail: contact@newtechinsulation.com
Line ID: @newtechinsulation
Facebook: newtechthai
Instagram: newtechinsulation
เว็บไซด์: https://www.noisecontrol365.com/


11
“สร้างเงินแสนจากครัวที่บ้าน” สไตล์ครูแมกซ์

จุดเริ่มต้นเพียงแค่ไม่มีใจรักการเป็นลูกน้อง และไม่ชอบการทำงานในองค์กร บวกกับมีความตั้งใจที่ว่า อยากฝึกทักษะการทำอาหารไว้ทำให้คุณพ่อคุณแม่ทานตอนท่านแก่
พร้อมกับคำพูดของคุณแม่ที่ชอบบอกว่า “การขายของมันได้จับเงินทุกวัน” นั่นคือจุดตัดสินใจ

ครูแมกซ์
จุดเริ่มต้นง่ายๆก็เริ่มจากการเรียนรู้จากคุณแม่ของครูแมกซ์เอง ท่านเป็นคนทำอาหารไทยอร่อย และเคยเปิดร้านอาหารมาก่อนตอนครูแมกซ์เด็กๆ
โดยใช้การถาม สังเกตอย่างละเอียด และฝึกชิมรสชาติของอาหารที่แท้จริง (เพราะคุณแม่ไม่เคยชั่งตวงวัดแม่บอกชิมให้เป็นไม่ต้องมาถามสูตร555)
ร่วมกับการเรียนรู้ผ่านสื่อออนไลน์ เช่น ยูทูป ดูทุกวันตลอดระยะเวลา 8-10ปี พร้อมกับการซื้อวัตถุดิบมาลงมือทำจริง ชิมจริง ทำให้คคุณแม่ทานจริง

ครูแมกซ์
จนถึงจุดที่มั่นใจแล้วว่า…จะทำอาหารเพื่อสร้างรายได้เริ่มง่ายๆจากครัวที่บ้าน
จากประสบการณ์ตลอดระยะเวลา15ปี ที่ครูแมกซ์มีรายได้จากอาหาร ไม่ว่าจะเป็นการยืนขายสลัดริมถนนหน้าตึกชาญอิสะ2 เปิดรับออเดอร์ลุกค้าในหมู่บ้าน การพรีออเดอร์ผ่านทางโซเชียลมีเดีย หรือแม้กระทั่งการออกบูทตามห้างดังต่างๆ

ทั้งหมดนี้ผ่านการทำจริง ได้ผลลัพธ์จริงมาทั้งหมดแล้วด้วยตัวครูแมกซ์เองคนเดียว (แบบไม่เลือกการมีลูกน้อง)

จึงมั่นใจมากว่าจากประสบการณ์ทั้งหมดที่ครูแมกซ์สั่งสมมาตลอดจนถึงวันนี้

ไข่เจียว
ครูแมกซ์ได้พิสูจน์แล้วว่า…การสร้างเงินแสนจากครัวที่บ้าน “มันทำได้จริง”
ครูแมกซ์ก็พร้อมที่จะถ่ายทอดทุกสูตรลัด แบไต๋ทุกเคล็ดลับให้คุณแบบหมดเปลือก!!  !!ความตั้งใจนั้นมันก็ได้เกิด”ผลลัพธ์”กับลูกศิษย์ครูแมกซ์เรียบร้อยแล้ว

📌น้องมิ้นท์ นักเรียนคอร์สไพรเวทจับมือทำรอบสด
ลาออกจากงานประจำเพื่อมาเปิดร้านขายอาหาร หลังจากเรียนกับครูแมกซ์ไปเพียงแค่3วัน น้องได้จับเงินบาทแรกจากอาหารทันที!!
โดยเปิดรับพรีออเดอร์จากอาพาร์ทเมนต์ (โดยมีครูแมกซ์เป็นที่ปรึกษาตลอด1เดือนเต็ม) เริ่มจากเมนูง่ายๆที่ครูแมกซ์เลือกให้เป็นเมนูประจำร้าน คือ “เมนูไข่ฟูหมูฉ่ำนัว”

‼️ล่าสุดเพียงแค่ 2เดือน ยอดขายเดือนกุมภาพันธ์ 68
สรุปได้ยอดขาย 60,000 บาท (ทำด้วยตัวคนเดียว)

📌น้องเติ๊ด นักเรียนคอร์สออนไลน์
เป็นพนักงานประจำหัวหน้าแผนกHR อยากหาอาชีพเสริมเพื่อวางแผนลาออกจากงานประจำ หลังจากเรียนคอร์สครูแมกซ์ภายใน 7 วัน น้องได้จับเงินบาทแรกจากอาหารทันที!!
โดยเปิดรับออเดอร์ที่คอนโด เริ่มจากเมนูง่ายๆที่เรียนจากคอร์สสูตรกะเพรา กับ คอร์ส10เมนูไข่ทำง่ายรายได้ปัง เมนูประจำร้าน คือ “เมนูข้าวไข่เจียว ไข่ข้น”
‼️ล่าสุดเพียงแค่ 2เดือน ยอดขายได้มากกว่าเงินเดือนประจำเป็นที่เรียนร้อยแล้ว พร้อมกับยื่นใบลาออก (แต่นายยังไม่อนุมัติ)


สนใจติดต่อสอบถามข้อมูล
ไลน์ ID  :  @krumax
Page FB : https://web.facebook.com/profile.php?id=61569480015186
เว็บไซด์ : https://krumax.net/krumaxcourse/
เบอร์โทร : 081-413-4479


12
งานมอเตอร์โชว์: Nissan Serena เตรียมเปิดตัวในงาน Motor Expo 2024 พร้อมโชว์รถครบรุ่นและโปรฯ SAY YES! ที่ช่วยให้ลูกค้าเป็นเจ้าของได้ง่ายขึ้น

นิสสัน ประกาศสร้างสีสันในงาน มหกรรมยานยนต์ ครั้งที่ 41 (Motor Expo 2024) กับการเปิดตัวรถยนต์ นิสสัน เซเรน่า ใหม่ รถยนต์อเนกประสงค์ มากประโยชน์ใช้สอย ตอบสนองความต้องการของตลาดได้ดี พร้อมนำรถยนต์ครบทุกรุ่นโชว์ตัวในงาน อาทิ นิสสัน คิกส์ อี-พาวเวอร์ รถยนต์เอสยูวีที่ให้ฟีลการขับขี่แบบรถยนต์ไฟฟ้า 100%  นิสสัน อัลเมร่า รถคอมแพคซีดานสไตล์สปอร์ต ที่แรงจริง กว้างขวางนั่งสบาย นิสสัน นาวารา กระบะ ทน พร้อมลุย และนิสสัน เทอร์ร่า รถอเนกประสงค์สำหรับครอบครัว  พร้อมทั้งจัดแถลงข่าวการประกวดผลงานการผลิตคอนเทนท์และแผนการตลาดสร้างสรรค์ Nissan e-POWER Challenge 2024 ที่บูธนิสสันภายในงาน ระหว่างวันที่ 29 พฤศจิกายน – 10 ธันวาคม นี้ ที่อิมแพ็ค เมืองทองธานี

 นิสสัน เซเรน่า เป็นหนึ่งในรถมินิแวนยอดนิยมที่ได้รับการตอบรับเป็นอย่างดีมาอย่างยาวนาน นับตั้งแต่เปิดตัวครั้งแรกในปี พ.ศ. 2534 และถูกส่งออกไปทั่วตลาดเอเชีย และยุโรปในภายหลัง รวมทั้งมีการผลิตในหลายภูมิภาค

นิสสัน เซเรน่า ใหม่ ถูกสร้างสรรค์ขึ้นในคอนเซ็ปต์ “Big. Easy. Fun.” สะท้อนจุดเด่นในด้านความกว้างขวางภายในรถ ความสะดวกสบาย ขึ้นลงง่าย การปรับเบาะที่นั่งได้หลายรูปแบบ สามารถใช้งานได้อเนกประสงค์ จึงเหมาะกับการเดินทางพร้อมกันหลายคน แบบครอบครัว สำหรับการพักผ่อน และการทำงาน

โทชิฮิโระ ฟูจิคิ ประธานนิสสัน ประเทศไทย และนิสสัน อาเซียน กล่าวว่า “นิสสันในประเทศไทย ยังคงยึดมั่นจุดยืนในการทำสิ่งที่คนอื่นไม่กล้าทำ เรามุ่งมั่นที่จะยกระดับการใช้ชีวิตของผู้คน และสร้างสรรค์โลกที่ทุกคนจะได้รับประสบการณ์ที่น่าประทับใจจากการเดินทาง  ตลอดระยะเวลา 71 ปี ที่เราดำเนินธุรกิจในประเทศไทย นิสสันเข้าใจดีว่าคนไทยให้ความสำคัญกับความสัมพันธ์ที่ดีกับคนใกล้ชิด และนิยมใช้เวลากับครอบครัว เพื่อนฝูง เราจึงได้นำรถที่ทั้งกว้างขวาง สามารถใช้งานได้อเนกประสงค์ เหมาะจะเป็นเพื่อนร่วมทางที่สร้างประสบการณ์ประทับใจในทุกเส้นทาง  นิสสัน เซเรน่า ใหม่ ออกแบบมาเพื่อช่วยให้ทุกคนใช้ชีวิตได้อย่างเต็มที่ เดินทางได้อย่างสนุกสนาน สร้างความทรงจำที่ดีให้กับทุกคน”

นอกจากการเปิดตัวนิสสัน เซเรน่า ใหม่ แล้ว ในงานมหกรรมยานยนต์ ครั้งนี้ นิสสันยังคงนำรถยนต์รุ่นหลักมาโชว์ในงาน ได้แก่ นิสสัน คิกส์ อี-พาวเวอร์  “คันนี้ ใช่เลย” นิสสัน นาวารา “ทน พร้อม ลุย” นิสสัน อัลเมร่า “แรงจริง จัดให้” และ นิสสัน เทอร์ร่า “คันเดียวจบ ครบเกินคุ้ม”

นิสสัน ยังได้เตรียมโปรโมชั่นพิเศษที่จะทำให้ลูกค้าเป็นเจ้าของรถยนต์คุณภาพเยี่ยมได้ง่ายขึ้นกับแคมเปญ SAY YES! ที่มีความหลากหลายให้ลูกค้าเลือกได้อย่างเหมาะสมกับความต้องการของตนเอง ตั้งแต่ดอกเบี้ยต่ำ 0% ไปจนถึงผ่อนนาน 96 เดือน

 รถยนต์หลัก 4 รุ่น ที่บูธนิสสัน

นิสสัน คิกส์ อี-พาวเวอร์ ให้ประสบการณ์ที่ขับสนุก ฟีลรถยนต์ไฟฟ้า 100%  โดยไม่ต้องเปลี่ยนพฤติกรรมการขับขี่ ไม่ต้องกังวลเรื่องการหาสถานีชาร์จ ด้วยเทคโนโลยี อี-พาวเวอร์ ที่มีความโดดเด่นจนได้รับรางวัลมาแล้วมากมาย ขับง่าย ราบรื่น และปลอดภัยกับ อี-เพดัล สเต็ป และกล้องมองหลังอัจฉริยะ (Intelligent Rear View Mirror - IRVM) ซึ่งเป็นหนึ่งในฟีเจอร์ยอดนิยมในชุดเทคโนโลยีความปลอดภัยรอบคัน 360˚ Safety Shield   นิสสัน คิกส์ อี-พาวเวอร์ ยังมาพร้อมรุ่นตกแต่งพิเศษอีก 2 รุ่น คือ ออเทค ที่เพิ่มความสปอร์ต พรีเมียม และ สตาร์ อีดิชัน ในสีดำสุดเท่

นิสสัน นาวารา รุ่นปี 2024 มาพร้อมดีไซน์ภายในใหม่ที่สปอร์ตพรีเมียมกว่าเดิม แต่ยังคงรักษาจุดเด่นความเป็นรถกระบะที่ “ทน พร้อม ลุย” วางใจได้ในทุกงาน นิสสัน นาวารา มาพร้อมการตกแต่งแผงคอนโซลหน้าใหม่ที่ติดตั้งจอทัช สกรีนขนาดใหญ่ 9 นิ้ว และวัสดุบุนุ่มในจุดที่มีการสัมผัสบ่อยๆ ให้ทั้งสัมผัสที่สบายและสวยงาม เบาะนั่ง Quole Modure ที่ไม่สะสมความร้อนนั่งสบายแม้จะเดินทางไกล

นิสสัน อัลเมร่า คอมแพคซีดานที่ “แรงจริง จัดให้” กับเครื่องยนต์ทรงพลังที่ให้ประสบการณ์การขับขี่ที่สนุกทุกเส้นทาง มาพร้อมแอปพลิเคชัน NissanConnect Services ที่ให้ผู้ขับขี่สื่อสารกับรถได้จากระยะไกลผ่านสมาร์ทโฟน  และฟีเจอร์ใหม่ล่าสุด Walk-Away Lock ที่เพิ่มความสะดวก และปลอดภัย โดยกุญแจอัจฉริยะจะล็อครถให้อัตโนมัติเมื่อผู้ขับขี่จอดรถ และเดินห่างออกไป และเปิดล็อคอัตโนมัติ เมื่อผู้ขับขี่เข้าใกล้รถ  และยังมีระบบ SOS ที่ให้ความอุ่นใจ ผู้ขับขี่สามารถกดปุ่มเพื่อขอความช่วยเหลือผ่านระบบเสียงในรถยนต์ได้ทันทีเมื่อเกิดเหตุฉุกเฉินหรืออุบัติเหตุ

นิสสัน เทอร์ร่า รถยนต์อเนกประสงค์สำหรับครอบครัว “คันเดียวจบ ครบเกินคุ้ม” ให้ทุกการเดินทางน่าจดจำ กับการขับขี่ที่มั่นใจ ขับสนุก ปลอดภัย พร้อมเครื่องเสียงระดับพรีเมียม Bose Premium Audio ระบบเสียงรอบทิศทางกับลำโพงคุณภาพสูง 8 ตัวพร้อมแอมปลิฟายเออร์ นอกจากนี้ยังติดตั้งจอขนาด 11 นิ้วเพิ่มความบันเทิงสำหรับผู้โดยสารด้านหลัง สามารถเชื่อมต่อได้ทั้ง HDMI และ Smart TV

 Nissan e-POWER Challenge 2024 ขับมันส์ ประชันไอเดีย
ในวันที่ 5 ธันวาคม 2567 นิสสันจะจัดกิจกรรมพิเศษ แถลงข่าวโครงการ Nissan e-POWER Challenge 2024 ขับมันส์ ประชันไอเดีย การประกวดการผลิตคอนเทนท์วีดีโอ และแผนการตลาดสร้างสรรค์ ซึ่งในปีนี้จัดขึ้นในธีม e-POWER ใช่ ทุกไลฟ์สไตล์ ย้ำจุดเด่นของเทคโนโลยี อี-พาวเวอร์ พร้อมเปิดตัวทีมที่เข้ารอบสุดท้ายทั้ง 6 ทีม การประกวดดังกล่าวเป็นส่วนหนึ่งของการสนับสนุนการพัฒนาเยาวชนที่นิสสันให้ความสำคัญ และจัดอย่างต่อเนื่องมาโดยตลอด โดยเน้นทักษะด้านการตลาดและการสื่อสาร

ก่อนหน้านี้ นิสสันได้เชิญชวนนิสิต นักศึกษา และนักเรียนระดับวิทยาลัย และมหาวิทยาลัยทั่วประเทศที่มีความสนใจ เข้าร่วมผลิตคอนเทนท์บนแพลตฟอร์มดิจิทัล ให้ความรู้และสร้างประสบการณ์ที่ดีเกี่ยวกับเทคโนโลยี อี-พาวเวอร์ และเผยแพร่บนช่องทางสื่อออนไลน์ของตนเอง ทีมที่มีผลงานดีที่สุดของแต่ละภาครวม 5 ภาค และทีมที่ได้รับยอดวิวสูงสุดจากทั้งหมดจะได้เข้าร่วมการแข่งขันในรอบสุดท้าย

 ในการแถลงข่าว ทั้ง 6 ทีมที่เข้ารอบสุดท้าย ยังจะได้รับมอบรางวัลสำหรับผลงานที่ยอดเยี่ยมในรอบแรก ได้แก่ ทุนการศึกษาทีมละ 20,000 บาท รวมทั้งได้รับโจทย์ใหม่สำหรับการแข่งขันรอบสุดท้าย ชิงรางวัลรวมมูลค่ากว่า 100,000 บาท พร้อมทริปไปญี่ปุ่น  นอกจากนี้ นิสสัน ยังได้เชิญกูรูด้านการตลาด และการผลิตคอนเทนท์ออนไลน์มาร่วมบรรยายให้ความรู้และสร้างแรงบันดาลใจให้แก่ทีมที่เข้ารอบ และผู้ที่สนใจที่แวะมาที่บูธนิสสันอีกด้วย  โดยการตัดสินรอบสุดท้ายจะจัดขึ้นในช่วงต้นปี 2568

13
หมอประจำบ้าน: สายตาสั้น (Myopia/Nearsightedness)

สายตาสั้น เป็นความผิดปกติของสายตา ที่มีอาการมองใกล้ชัด แต่มองไกลไม่ชัด เป็นภาวะที่พบได้บ่อย (พบได้ประมาณร้อยละ 25 ของเด็กในวัยเรียน) อาจเป็นเพียงตาข้างเดียว หรือ 2 ข้างก็ได้ และสายตาทั้ง 2 ข้างอาจจะสั้นไม่เท่ากันก็ได้

โรคนี้มักพบเป็นกันหลายคนในหมู่ญาติพี่น้องในครอบครัวเดียวกัน

สายตาสั้น แบ่งออกเป็น 2 ชนิด ได้แก่ สายตาสั้นชนิดไม่รุนแรง (ซึ่งพบเห็นเป็นส่วนใหญ่ มีภาวะสายตาสั้นไม่รุนแรง และไม่มีภาวะแทรกซ้อนร้ายแรง) และสายตาสั้นชนิดรุนแรง (ซึ่งพบได้น้อย สายตาสั้นค่อนข้างมากถึงรุนแรง และมักมีภาวะแทรกซ้อนร้ายแรง)

สาเหตุ

สายตาสั้น มีสาเหตุจากกระจกตามีความโค้งมากกว่าปกติ ซึ่งมีกำลังในการหักเหแสงมากขึ้น ทำให้จุดรวมแสงของภาพของวัตถุที่อยู่ไกลตกอยู่ข้างหน้าจอตา ไม่ตกตรงจอตาพอดี จึงมีอาการมองไกล ๆ ไม่ชัด

  สายตาสั้นยังอาจเกิดจากกระบอกตามีความยาว (ระยะจากกระจกตาถึงจอตา) มากกว่าปกติ ทำให้จุดรวมแสงของภาพของวัตถุที่อยู่ไกลตกไม่ถึงจอตา ทำให้เกิดอาการมองไกลไม่ชัด มักทำให้มีสายตาสั้นที่ค่อนข้างมากถึงรุนแรง

เชื่อว่าความผิดปกติดังกล่าวเป็นสิ่งที่เป็นมาแต่กำเนิดโดยธรรมชาติของคนคนนั้น อาจมีความสัมพันธ์กับกรรมพันธุ์และเชื้อชาติ

นอกจากนี้ ยังมีปัจจัยที่ส่งเสริมให้เกิดอาการสายตาสั้น ได้แก่ การใช้เวลามากในการเพ่งมองวัตถุที่อยู่ใกล้ (เช่น การอ่านหนังสือ เขียนหนังสือ ดูจอคอมพิวเตอร์) หรือการเล่นสมาร์ตโฟนเป็นเวลานาน ๆ เป็นประจำ การใช้เวลาในที่กลางแจ้งน้อย

อาการ

สายตาสั้น จะมีอาการมองไกล ๆ (เช่น มองกระดานดำ ดูโทรทัศน์) ไม่ชัด ต้องคอยหยีตา แต่มองใกล้ (เช่น อ่านหนังสือ ดูจอคอมพิวเตอร์) ได้ชัดเจน

  ผู้ป่วยอาจมีอาการปวดศีรษะหรือตาล้าจากการเพ่งมองวัตถุที่อยู่ไกล

เด็กที่มีสายตาสั้น อาจมีอาการกะพริบตาบ่อย ใช้นิ้วขยี้ตาบ่อย นั่งดูทีวีใกล้จอ และถ้าสายตาสั้นมาก ๆ อาจมีอาการตาเขร่วมด้วย

สำหรับสายตาสั้นชนิดไม่รุนแรง จะเริ่มมีอาการแสดงในระยะที่เริ่มเข้าโรงเรียน และจะค่อย ๆ เป็นมากขึ้นเรื่อย ๆ จนกระทั่งอายุ 25 ปีจึงอยู่ตัวไม่สั้นมากขึ้น สายตาสั้นชนิดนี้จะไม่สั้นมาก และไม่มีภาวะแทรกซ้อนที่ร้ายแรง

  ในรายที่เป็นสายตาสั้นชนิดรุนแรง ซึ่งมักเกิดจากมีกระบอกตายาวกว่าปกติมากและอาจมีภาวะแทรกซ้อนร้ายแรง อาจพบว่าในระยะแรกจะมีอาการสายตาสั้นคล้ายชนิดไม่รุนแรง แต่จะมีสายตาสั้นมากขึ้นเรื่อย ๆ ตามอายุที่มากขึ้น แม้เลยวัย 25 ปีไปแล้ว หรืออาจพบมีอาการสายตาสั้นขนาดมาก ๆ มาตั้งแต่อายุน้อย (ในวัยรุ่น) จะสังเกตเห็นเมื่อเด็กเริ่มหัดเดิน มักจะเดินชนถูกสิ่งกีดขวาง หกล้มบ่อย ๆ หรือเวลามองดูอะไรต้องเข้าไปใกล้ ๆ จนตาแทบชิดกับวัตถุที่มอง ต้องสวมแว่นหนา ๆ อาจต้องเปลี่ยนแว่นแรงขึ้นเรื่อย ๆ

  สายตาสั้นชนิดรุนแรงที่พบตั้งแต่วัยเด็กดังกล่าว เรียกว่า "สายตาสั้นชนิดร้าย (malignant myopia)" เป็นภาวะที่พบได้น้อย มีความผิดปกติที่ถ่ายทอดทางพันธุกรรม

ภาวะแทรกซ้อน

ความบกพร่องในการมองเห็น ทำให้เกิดความบกพร่องในการเรียนและการทำงาน และอาจทำให้เกิดอุบัติเหตุได้ง่าย (เช่น ขณะขับรถ หรือทำงานเกี่ยวกับเครื่องจักร)

เด็กเล็กที่มีสายตาสั้นมาก ๆ อาจเกิดอาการตาเขได้

สำหรับสายตาสั้นชนิดรุนแรง อาจมีภาวะแทรกซ้อนร้ายแรง เช่น ต้อกระจก ต้อหิน จอประสาทตาฉีกขาดหรือหลุดลอก เลือดออกที่จอตา เป็นต้น ทำให้ตาบอดได้

การวินิจฉัย

แพทย์จะวินิจฉัยด้วยการใช้เครื่องตรวจวัดสายตาและการตรวจสุขภาพตาซึ่งมีอยู่หลายวิธีด้วยกัน และอาจวัดสายตาด้วยการทดลองให้มองผ่านเลนส์หลาย ๆ ขนาดเพื่อหาขนาดที่ให้ความคมชัดที่สุด

บางครั้งแพทย์อาจให้ยาหยอดตาขยายรูม่านตา เพื่อเปิดมุมกว้างสำหรับการตรวจภายในลูกตาได้ละเอียด อาจทำให้เห็นแสงจ้า หรือรู้สึกตาพร่ามัวอยู่สักพักใหญ่ และจะหายดีหลังจากยาหมดฤทธิ์

การรักษาโดยแพทย์

ถ้ามีอาการเล็กน้อย และไม่มีอุปสรรคต่อการเรียนหรือการทำงาน แพทย์อาจแนะนำให้เฝ้าสังเกตอาการและนัดมาตรวจวัดสายตาเป็นระยะ

สำหรับผู้ที่มีสายตาสั้นซึ่งเป็นอุปสรรคต่อการเรียนหรือการทำงาน แพทย์จะทำการแก้ไขด้วยการให้ผู้ป่วยใส่แว่นชนิดเลนส์เว้า หรือเลนส์สัมผัสหรือคอนแทคเลนส์* ตามขนาดสายตาที่ตรวจวัดได้

ในผู้ที่เป็นสายตาสั้นชนิดรุนแรง แพทย์จะนัดมาตรวจวัดสายตา ปรับเปลี่ยนแว่น และตรวจดูภาวะแทรกซ้อนที่อาจเกิดตามมาเป็นระยะ

  แพทย์อาจให้การรักษาด้วยการผ่าตัดร่วมกับการใช้เลเซอร์ เพื่อปรับความโค้งของกระจกตาให้จุดรวมแสงตกบนจอตาพอดี สำหรับผู้ที่มีอายุมากกว่า 20 ปี มีสายตาที่คงที่แล้ว และไม่มีภาวะที่เป็นข้อห้ามในการทำการผ่าตัด การรักษาด้วยการผ่าตัดแบบนี้มีอยู่หลายวิธี

  ที่นิยมได้แก่ วิธีที่เรียกว่า เลสิก (LASIK ซึ่งย่อมาจาก laser assisted in situ keratomileusis) โดยแพทย์จะใช้มีดเฉพาะ (microkeratome) ฝานกระจกตาโดยรอบ และใช้เลเซอร์ (excimer laser) ยิงให้กระจกตาส่วนที่อยู่ตรงกลางแบนลงให้ได้ขนาดที่เหมาะกับระดับของสายตาสั้น

นอกจากนี้ แพทย์อาจรักษาด้วยวิธีอื่น ๆ** รวมทั้งการผ่าตัดฝังเลนส์เทียม (intraocular lens implant/IOL) โดยแพทย์จะผ่ากระจกตาเป็นรอยเล็ก ๆ แล้วฝังเลนส์ตาเทียมเข้าไปในตาของผู้ป่วย ซึ่งช่วยให้จุดรวมแสงของภาพของวัตถุที่อยู่ไกลตกตรงจอตา ทำให้มองเห็นได้ชัดขึ้น

ผลการรักษา ส่วนใหญ่ช่วยให้มีสายตาเป็นปกติ สำหรับสายตาสั้นชนิดรุนแรงซึ่งพบได้เป็นส่วนน้อยอาจเกิดภาวะแทรกซ้อนร้ายแรงได้

*ผู้ที่มีสายตาผิดปกติ บางคนอาจนิยมใส่เลนส์สัมผัสหรือคอนแท็กต์เลนส์ (contact lenses) ซึ่งมีให้เลือกอยู่หลายชนิด การใช้เลนส์สัมผัสมีข้อควรระวังในการใช้และการดูแลเป็นพิเศษมากกว่าการใส่แว่น หากใช้ไม่ถูกต้อง อาจทำให้เกิดการติดเชื้อที่ตาและแผลกระจกตา (corneal ulcer) ได้ ก่อนใช้ควรขอคำแนะนำจากผู้เชี่ยวชาญ และปฏิบัติตามคำแนะนำอย่างเคร่งครัด หากพบว่ามีอาการผิดปกติ เช่น รู้สึกเคืองตา น้ำตาไหลมากกว่าปกติ ตาแดง ตามัว เป็นต้น ควรถอดเลนส์สัมผัสออก และไปปรึกษาแพทย์โดยเร็ว

**ในปัจจุบัน นอกจากเลสิก (LASIK) แล้ว ยังมีวิธีใหม่ ๆ ในการรักษาสายตาสั้นอีกหลายวิธี เช่น Laser-assisted subepithelial keratectomy (LASEK), Photorefractive keratectomy (PRK), Small incision lenticule extraction (SMILE) เป็นต้น ซึ่งมีข้อดี ข้อเสีย ข้อห้ามและข้อควรระวังต่าง ๆ กันไป ควรปรึกษาจักษุแพทย์ผู้เชี่ยวชาญให้ได้ความชัดเจนว่าวิธีไหนที่เหมาะกับสภาพของผู้ป่วยแต่ละราย

การดูแลตนเอง

หากสงสัย เช่น มีอาการมองไกลไม่ชัด เด็กมีอาการกะพริบตาหรือขยี้ตาบ่อย ควรปรึกษาแพทย์

เมื่อตรวจพบว่าเป็นสายตาสั้น ควรดูแลตนเอง ดังนี้

    รักษา และปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์
    ติดตามรักษากับแพทย์ตามนัด

ควรกลับไปพบแพทย์ก่อนนัด ถ้ามีลักษณะข้อใดข้อหนึ่ง ดังต่อไปนี้

    มีอาการสายตาสั้นมากขึ้น หรือใส่แว่นสายตาแล้วยังมองเห็นไม่ชัด
    มีอาการตาล้า หรือปวดศีรษะบ่อย
    สงสัยมีภาวะแทรกซ้อนหรือความผิดปกติอื่น ๆ เช่น ปวดศีรษะมาก ปวดตามาก ตาพร่ามัว เห็นภาพซ้อน เห็นแสงวาบคล้ายฟ้าแลบหรือแสงแฟลช หรือเห็นจุดดำคล้ายเงาหยากไย่หรือแมลงลอยไปมา เป็นต้น

การป้องกัน

ยังไม่มีวิธีป้องกันที่ได้ผล เนื่องจากเกิดจากความผิดปกติของโครงสร้างตาที่เป็นมาแต่กำเนิด

อาจลดความเสี่ยงของการเกิดอาการสายตาสั้นลงด้วยการปฏิบัติตัวดังนี้

1. การส่งเสริมให้เด็กวัยรุ่นและวัยหนุ่มสาวช่วงต้นใช้เวลาอยู่ในที่กลางแจ้งให้มากขึ้น โดยสันนิษฐานว่า แสงอัลตราไวโอเลตจากแสงแดด มีส่วนช่วยยับยั้งไม่ให้กระบอกตามีความยาวมากกว่าปกติ จึงช่วยลดการเกิดสายตาสั้นได้*

2. ดูแลสุขภาพตา เพื่อป้องกันไม่ให้สายตาแย่ลง โดยการปฏิบัติตัวดังนี้

    หมั่นออกกำลังกาย ไม่สูบบุหรี่ และบริโภคอาหารสุขภาพ โดยลดของมัน ของหวาน ของเค็ม และกินผัก ผลไม้และปลาให้มาก ๆ
    ลดการสัมผัสรังสีอัลตราไวโอเลต โดยการสวมแว่นตากันแดดเวลาออกกลางแดดจ้า
    ใส่แว่นสายตาที่เหมาะกับระดับสายตา
    ใส่อุปกรณ์ป้องกันตาเวลาทำกิจกรรมที่เสี่ยงต่อการบาดเจ็บของตา (เช่น เล่นกีฬา ตัดหญ้า ทาสี หรือการสัมผัสสารเคมี)
    ควบคุมโรคเบาหวานและความดันโลหิตสูง (ถ้าเป็นโรคเหล่านี้)
    ป้องกันอาการตาล้า โดยการพักตาเวลาใช้สายตามาก (เช่น อ่านหนังสือ เขียนหนังสือ ดูจอคอมพิวเตอร์) ทุก ๆ 20 นาที ให้มองวัตถุที่อยู่ห่างระยะ 20 ฟุต นาน 20 วินาที
    ทำกิจกรรมที่ต้องใช้สายตา (เช่น อ่านหนังสือ เขียนหนังสือ) ในที่ที่มีแสงสว่างที่มากพอ
    หมั่นตรวจเช็กสุขภาพตา (ตามที่แพทย์แนะนำ)

ข้อแนะนำ

1. ผู้ที่มีสายตาสั้นชนิดไม่รุนแรง อาจไม่ทราบว่าตัวเองมีสายตาผิดปกติเนื่องจากไม่มีอาการที่เด่นชัด ดังนั้น แนะนำว่าคนทั่วไปทั้งเด็กและผู้ใหญ่ควรตรวจวัดสายตาเป็นระยะ ตามโรงเรียนต่าง ๆ ควรมีแผ่นวัดสายตา (ที่นิยมใช้กันคือ Snellen chart) ไว้ตรวจวัดสายตานักเรียนทุกคน ถ้าพบว่าผิดปกติ จะได้ส่งเด็กไปตรวจรักษาที่โรงพยาบาล

  2. ผู้ที่เป็นสายตาสั้น จะใส่แว่นประจำหรือไม่ก็ไม่มีผลต่อการเปลี่ยนแปลงของสายตา ความเชื่อที่ว่าใส่แว่นประจำหรือเปลี่ยนแว่นบ่อย ๆ ทำให้ตาสั้นมากขึ้นจึงไม่เป็นความจริง ถ้าสายตาจะสั้นมากขึ้นก็เพราะธรรมชาติของคนคนนั้น โดยทั่วไปเมื่ออายุประมาณ 25 ปี สายตามักจะอยู่ตัว ไม่ต้องเปลี่ยนแว่นบ่อย

14
อาชีพเสริม จากตะไคร้สมุนไพรไทยมีประโยชน์ต่อสุขภาพมากมาย สามารถนำมาใช้ประโยชน์ในชีวิตประจำวันได้

ตะไคร้เป็นสมุนไพรที่รู้จักกันดีซึ่งใช้กันอย่างแพร่หลายในอาหารไทยและยาแผนโบราณ กลิ่นหอมสดชื่นและรสชาติที่เป็นเอกลักษณ์ทำให้ตะไคร้เป็นส่วนผสมยอดนิยมในซุป ชาและแกง นอกจากการนำมาใช้ในการทำอาหารแล้ว ตะไคร้ยังมีประโยชน์ต่อสุขภาพมากมาย จึงทำให้ตะไคร้เป็นสมุนไพรหลักในตำรับยาสมุนไพรมีสรรพคุณทางยาหลายอย่างและยังสามารถนำมาใช้ประโยชน์ในชีวิตประจำวันได้

ประโยชน์ต่อสุขภาพของตะไคร้
ตะไคร้ อุดมไปด้วยสารต้านอนุมูลอิสระ
ตะไคร้มีสารต้านอนุมูลอิสระที่มีประสิทธิภาพซึ่งช่วยต่อต้านอนุมูลอิสระในร่างกาย สารต้านอนุมูลอิสระเหล่านี้ช่วยลดความเครียดจากออกซิเดชันและส่งเสริมสุขภาพโดยรวม

ช่วยย่อยอาหาร
การดื่มชาตะไคร้สามารถบรรเทาปัญหาการย่อยอาหาร เช่น อาการท้องอืด ปวดท้อง และอาหารไม่ย่อย ช่วยกระตุ้นการหลั่งของน้ำย่อย ส่งเสริมการย่อยอาหารที่ดีขึ้น

ตะไคร้เป็นสมุนไพร ล้างพิษจากธรรมชาติ
ที่มีคุณสมบัติขับปัสสาวะซึ่งช่วยขับสารพิษออกจากร่างกาย ผลการทำความสะอาดนี้ช่วยส่งเสริมสุขภาพไตและรักษาระดับของเหลวให้สมดุล

คุณสมบัติต้านการอักเสบ
สมุนไพรนี้ประกอบด้วยสารประกอบเช่น ซิตรัลและลิโมนีน ซึ่งมีฤทธิ์ต้านการอักเสบ ตะไคร้อาจช่วยลดการอักเสบ จึงมีประโยชน์ต่อผู้ที่เป็นโรคข้ออักเสบหรือปวดกล้ามเนื้อ

น้ำมันหอมระเหยตะไคร้หอม มีฤทธิ์ต้านเชื้อแบคทีเรียและเชื้อรา
มีคุณสมบัติในการต่อต้านแบคทีเรียและเชื้อรา สามารถใช้ในการรักษาตามธรรมชาติเพื่อช่วยต่อสู้กับการติดเชื้อที่ผิวหนังและรักษาสุขภาพผิวให้แข็งแรง

เสริมภูมิคุ้มกัน
วิตามินซีและสารอาหารอื่นๆ ในระดับสูงในตะไคร้จะช่วยเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกัน ช่วยให้ร่างกายต่อต้านการติดเชื้อและโรคทั่วไปได้

บรรเทาความเครียดและความวิตกกังวล
กลิ่นหอมของตะไคร้หอมมักใช้ในการบำบัดด้วยกลิ่นหอมเพื่อบรรเทาความเครียดและความวิตกกังวล การสูดดมน้ำมันตะไคร้หอมหรือดื่มชาตะไคร้หอมสามารถส่งเสริมการผ่อนคลายและปรับปรุงอารมณ์ได้

รองรับสุขภาพหัวใจ
ตะไคร้อาจช่วยลดระดับคอเลสเตอรอลและรักษาความดันโลหิตให้อยู่ในระดับที่ดี จึงช่วยลดความเสี่ยงต่อโรคหัวใจ

วิธีใช้ตะไคร้
ชา:ต้มตะไคร้สดหรือแห้งในน้ำเพื่อทำชาที่ช่วยให้ผ่อนคลาย
น้ำมันหอมระเหย:หยดน้ำมันตะไคร้หอมสักสองสามหยดลงในเครื่องกระจายกลิ่นเพื่อใช้เป็นกลิ่นหอมบำบัด หรือเจือจางด้วยน้ำมันพาหะสำหรับการนวด
การใช้ในการทำอาหาร:ใส่ตะไคร้ในซุป แกง และอาหารหมักเพื่อเพิ่มรสชาติ
ข้อควรระวัง
แม้ว่าตะไคร้จะปลอดภัยสำหรับคนส่วนใหญ่ แต่การบริโภคมากเกินไปอาจทำให้เกิดอาการวิงเวียนศีรษะหรือระคายเคืองกระเพาะอาหารได้ สตรีมีครรภ์และบุคคลที่มีปัญหาสุขภาพบางประการควรปรึกษาผู้เชี่ยวชาญด้านการแพทย์ก่อนใช้

ตะไคร้ไม่เพียงแต่เป็นสมุนไพรที่มีรสชาติอร่อยเท่านั้น แต่ยังเป็นยาสมุนไพรจากธรรมชาติที่มีคุณประโยชน์ต่อสุขภาพอีกด้วย การนำตะไคร้มาใช้ในชีวิตประจำวันสามารถช่วยเรื่องการย่อยอาหาร ลดการอักเสบ และส่งเสริมสุขภาพโดยรวม เพลิดเพลินกับประโยชน์หลากหลายของตะไคร้และรับผลตอบแทนจากสมุนไพรไทยอันน่าทึ่งนี้

15
จัดฟันบางนา: การจัดฟันแบบใส ช่วยให้ฟันเรียงตัวอย่างรวดเร็ว

การจัดฟันแบบใส เป็นการรักษาทางทันตกรรมอย่างหนึ่งที่ช่วยแก้ไขปัญหาฟันที่มีความผิดปกติ ไม่ว่าจะเป็นการสบฟันที่ผิดปกติ การเกิดฟันห่าง ฟันล้ม ฟันซ้อนเก ซึ่งต้องบอกว่า การจัดฟันนั้น สามารถแก้ไขปัญหาได้อย่างมีประสิทธิภาพเลยทีเดียว หากเราพูดถึงเรื่องของการจัดฟัน แน่นอนว่าหลายคนคงคิดถึงการจัดฟันที่สวมใส่เหล็กจัดฟัน ซึ่งแก้ไขปัญหาฟันที่มีความผิดปกติได้ แต่โดยปกติแล้วการขึ้นของฟันให้อยู่ในตำแหน่งที่ถูกต้องเหมาะสมและสามารถบดเคี้ยวอาหารได้ดีขึ้น รวมทั้งการรักษา โดยจะเป็นการใช้เครื่องมือจัดฟันเพื่อช่วยแก้ไขปัญหาการเรียงตัวของฟันและสบฟันผิดปกติ ดูไม่สวยงาม ดูไม่เป็นระเบียบ รวมถึงโครงสร้างและรูปร่างของใบหน้า เช่น หน้าอูม คางยื่น ให้มีโครงสร้างและรูปร่างใบหน้าที่ดีและสวมงามขึ้น


ซึ่งเครื่องมือจัดฟันที่ใช้จะช่วยเคลื่อนฟันไปยังตำแหน่งที่เหมาะสมได้ เพื่อประโยชน์ในด้านสุขภาพช่องปากและฟัน และเพื่อบุคลิกภาพที่ดีขึ้นของผู้เข้ารับการจัดฟัน สามารถทำได้ตั้งแต่เด็กจนถึงผู้ใหญ่ แต่ช่วงเวลาที่เหมาะสมที่สุดจะอยู่ในช่วงอายุประมาณ 10-14 ปี เนื่องจากร่างกายกำลังเจริญเติบโต ฟันจึงเคลื่อนที่ได้ง่าย นี่คือการเข้ารับการจัดฟันแบบทั่วไป และรูปแบบการจัดฟันในหลายรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็นการจัดฟันแบบสวมใส่เหล็กจัดฟัน การจัดฟันในเด็ก ที่สามารถเข้ารับการรักษาเกี่ยวกับความผิดปกติของฟันได้ตั้งแต่อายุยังน้อย จึงช่วยลดความเสี่ยงที่อาจจะเกิดปัญหาในอนาคต ดังนั้น การเข้ารับการจัดฟัน จึงเป็นทางออกที่ดีที่สุด สำหรับคนที่อยากมีสุขภาพช่องปากและฟันที่ดี อยากมีฟันที่เรียงตัวกันอย่างสวยงาม เป็นธรรมชาติ มีบุคลิกภาพที่ดีและมั่นใจมากยิ่งขึ้น

แต่ในแง่ของการจัดฟันแบบใส ก็สามารถช่วยให้ผู้เข้ารบการจัดฟัน มีฟันที่เรียงตัวได้อย่างสวยงาม ในระยะเวลาอันรวดเร็ว ซึ่งการจัดฟันแบบใสนั้น มีการออกแบบเครื่องมือการจัดฟันเฉพาะบุคคล ทำให้เครื่องมือการจัดฟันสามารถทำงานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ ยิ่งถ้าเราสวมใส่เครื่องมือเป้นประจำตามคำแนะนำของทันตแพทย์ก็จะยิ่งทำให้ผลการรักษาเป็นไปตามที่ทันตแพทย์วางไว้ ซึ่งก็มีส่วนช่วยทให้ผู้เข้ารับการจัดฟันแบบใส มีฟันที่เรียงตัวกันอย่างสวยงามได้อย่างรวดเร็ว ซึ่งโดยปกติแล้วระยะเวลาการจัดฟันแบบใส จะใช้เวลาในการจัดฟัน ประมาณ 6 เดือน – 1 ปี แต่ก็ขึ้นอยู่กับปัญหาฟันของแต่ละบุคคลด้วย ปละก็ขึ้นอยู่กับระเบียบวินัยของผู้เข้ารับการจัดฟันว่า จะมีวินัยในการสวมใส่เครื่องมือการจัดฟันหรือไม่ 


อย่างไรก็ตาม ในการกำหนดการเคลื่อนที่ของฟันในแต่ละซี่ของผู้เข้ารับการจัดฟัน เมื่อฟันเคลื่อนอุปกรณ์จะใช้แรงผลัก ในการดึงออกหรือดันเข้า ซึ่งการจัดฟันใสนั้นก็จะมีการใช้เทคโนโลยีเข้ามาเกี่ยวข้อง รวมถึงใช้ระบบคอมพิวเตอร์ เข้ามาช่วยเรื่องการจำลองการเคลื่อนที่ของฟัน เพื่อคำนวณทิศทางการเข้าที่ของฟันให้เกิดความแม่นยำมากที่สุด เพื่อให้ผลการรักษามีประสิทธิภาพ และช่วยทำให้ผู้เข้ารับจัดฟันได้ใช้งานฟันอย่างมีประสิทธิภาพ ดังนั้น ถ้าหากผู้เข้ารับการจัดฟัน ทำตามข้อปฏิบัติตามทีทันตแพทย์บอก ก็จะทำให้ผู้เข้ารับการจัดฟันมีฟันที่สวยงามได้อย่างรวดเร็ว

อย่างไรก็ตาม หากใครสนใจเข้ารับการจัดฟันแบบใส สามารถติดต่อขอรับคำแนะนำได้ที่คลินิกเพราะทางเรามีทันตแพทย์ที่มีความเชี่ยวชาญทางด้านการจัดฟันและมีประสบการณ์ในวงการทันตกรรมมาอย่างยาวนาน จึงช่วยให้ผู้เข้ารับการจัดฟันมีผลการรักษาที่แม่นยำ มีความปลอดภัย เพราะทางเราได้รับการรับรองสูงสุดจากทาง Invisalign เพื่อให้บริการทางด้านการจัดฟันแบบใส มีความน่าเชื่อถือ เพราะทันตแพทย์จัดฟัน ได้รับการอบรมหลักสูตร Invisalign มาอย่างถูกต้องตามมาตรฐาน ดังนั้น จึงทำให้คุณมั่นใจได้ว่า คุณจะมีฟันที่เรียงตัวอย่างสวยงาม มีรอยยิ้มที่สดใสได้อย่างแน่นอน เพราะเราอยากให้ทุกคนมีสุขภาพช่องปากและฟันที่ดี เพื่อที่จะได้สามารถใช้ชีวิตประจำวันได้อย่างมีความสุข มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น

หน้า: [1] 2 3 ... 29